รีวิว Operation Fortune: Ruse de Guerre (2023) หนังแอ็คชั่นโคตรระห่ำของเจ้าพ่อแอ็คชั่น เจสัน สเตแธม
ในระยะที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวที่ประเทศไทยนั้น มีความน่าสนใจเกิดขึ้นเมื่อผลงานใหม่ของ กาย ริตชี (Guy Ritchie) ถูกฉายพร้อมกันในหลายโรงหนัง โดยเฉพาะ ‘Guy Ritchie’s The Covenant’ (2023) ที่เปิดมุมมองใหม่ในการกำกับภาพยนตร์สงครามของริตชี ที่มาพร้อมความสมจริงและจริงจัง สำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์ใหม่ ๆ ควรไม่พลาด ในขณะเดียวกัน ผู้ที่หลงใหลในสไตล์การเล่าเรื่องอันแสบสันต์ ความตลกขบขัน และการพูดคุยที่เจ็บแสบ พร้อมด้วยเนื้อหาที่สัมพันธ์กับหมู่อันธพาลอย่างที่เคยเห็นใน ‘Lock, Stock and Two Smoking Barrels’ (1998) และ ‘Snatch’ (2000) รวมถึงเสน่ห์แห่งโลกสายลับที่สามารถพบได้ใน ‘The Man from U.N.C.L.E.’ (2015) ที่มอบความท้าทายในการประลองปัญญาที่หลากหลายกว่าโลกอาชญากรรม ก็ควรจะไม่พลาดที่จะรับชม ‘Operation Fortune: Ruse de Guerre’
- ชื่อเรื่องต้นฉบับ: Operation Fortune: Ruse de Guerre
- ชื่อเรื่องไทย: ปฏิบัติการระห่ำโคตรคนฟอร์จูน
- ประเภท: แอ็คชัน, คอมเมดี้, ลึกลับ, ระทึกขวัญ
- ผู้กํากับ: Guy Ritchie
- ผู้สร้าง: Ivan Atkinson, Bill Block, Steve Chasman, Guy Ritchie, Jason Statham
- ผู้เขียน: Guy Ritchie, Ivan Atkinson, Marn Davies
- วันที่เข้าฉาย: 3 มีนาคม 2023
- บ็อกซ์ออฟฟิศ: 6.4 ล้านเหรียญ
- เวลาหนัง: 1 ชั่วโมง 54 นาที
- ผู้จัดจําหน่าย: Lionsgate
ตัวอย่าง: Operation Fortune: Ruse de Guerre
ร่วมติดตามหนังแอ็คชั่นสุดระห่ำ “Operation Fortune: Ruse de Guerre” ได้ที่: ดูหนังใหม่
รีวิว Operation Fortune: Ruse de Guerre (2023) หนังแอ็คชั่นโคตรระห่ำของเจ้าพ่อแอ็คชั่น เจสัน สเตแธม
นี่คือผลงานของผู้กำกับและผู้เขียนบท กาย ริตชี่ ที่ทิ้งผลงานไว้มากมาย ซึ่งยังคงสไตล์ของตัวเองในแต่ละงาน Operation Fortune เป็นภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มสายลับที่ได้รับการว่าจ้างจากรัฐบาลให้ไปเอาสิ่งของลึกลับที่ถูกขโมยไป พวกเขาต้องปลอมตัวเพื่อเข้าถึงพ่อค้าอาวุธที่ใช้นักแสดงชื่อดังระดับโลกเป็นเหยื่อล่อ
หากใครคุ้นเคยกับภาพยนตร์ของกาย ริตชี่ ก็คงจะเดาและคาดหวังสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขาได้ และเรื่องราวนี้ก็เป็นเช่นนั้น หนังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ผ่านบทสนทนาที่ไหลไม่รู้จบของตัวละครมากมาย บทสนทนาจะมีเนื้อหาสำคัญสำหรับเรื่องราว มีเรื่องตลกแห้งๆ ที่อาจเรียกเสียงหัวเราะได้มากมาย นั่นหมายความว่าทุกอย่างถูกบอกเล่าผ่านบทสนทนามากมาย เมื่อมีคนเหม่อลอยหรือหลงทาง เขาอาจพลาดบางสิ่งบางอย่างไป แต่นั่นคือความสนุกของมัน ผมหมายถึงว่าการฟังตัวละครพูดคุยกันเป็นเรื่องเฮฮา
Operation Fortune Netflix การจัดเตรียมและการดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่นและราบรื่นมาก หนังเก็บอารมณ์ได้เป็นอย่างดี เราดูหนังอย่างต่อเนื่อง ผมไม่รู้สึกถึงการขัดจังหวะใดๆ เลย ไม่มีการขาดแคลนอารมณ์อย่างต่อเนื่อง เรื่องราวดำเนินไปอย่างราบรื่นแม้ว่าจะไม่มีฉากแอ็กชันมากมายก็ตาม แต่ฉากที่อยู่ตรงนั้นก็สนุกสนานและมั่นคง
ทุกคนในวงการนักแสดงในภาพยนตร์นี้เป็นที่รู้จัก เราจะพบกับ Jason Statham ซึ่งเคยร่วมงานกับ Guy Ritchie หลายครั้งแล้ว ตัวละครของเขาในภาพยนตร์นี้ไม่ได้แตกต่างไปจากผลงานอื่น ๆ ของเขา แต่ก็เหมาะสำหรับบทบาทสายลับในภาพยนตร์นี้อย่างมาก นอกจากนี้ยังมี Hugh Grant ที่รับบทเป็นพ่อค้าอาวุธมหาเศรษฐี การนำบทเข้าช่วยมีทักษะและลื่นไหลมาก นอกจากนี้ นักแสดงคนอื่น ๆ เช่น Aubrey Plaza, Carey Elwes, Josh Hartnett, Bugzy Malone, Eddie Marsan, และ Peter Ferdinando ก็จัดการบทบาทของตัวเองได้อย่างดี ๆ ทั้งนี้ตัวละครทุกตัวมีความชัดเจน บางครั้งอาจจะดูเหมือนมีบางอย่างซ้อนลับ แต่สิ่งนั้นไม่มีอะไรเลย
Operation Fortune: Ruse de Guerre ปฏิบัติการระห่ำโคตรคนฟอร์จูน (2023)
เรื่องย่อ: Operation Fortune: Ruse de Guerre
ภารกิจลับของจารชน MI6 ที่หมายตาอาวุธนิวเคลียร์ใหม่ล่าสุดซึ่งอาจมีผลต่อความสงบของโลก จารชนผู้เชี่ยวชาญในการใช้อาวุธนี้จำเป็นต้องดำเนินการแบล็กเมล์ต่อดาราหนุ่มชื่อดัง เพื่อให้ช่วยในภารกิจนี้โดยอำพรางตัวเป็นพ่อค้าอาวุธร่ำรวยในโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ที่ดาราจะร่วมทุนสร้าง
แน่นอนว่าเช่นเคย ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับและเขียนบทโดยกาย ริตชี่ ร่วมกับนักเขียนบทชื่อดังอย่างยวน แอตกินสันและมาร์น เดวีส์ พวกเขาเคยร่วมงานกันในผลงานแอ็คชั่นสุภาพบุรุษหลายเรื่อง การกลับมาครั้งนี้พวกเขาพยายามสร้างภาพยนตร์แอคชั่นที่มีอารมณ์ขันมากมาย เหมาะกับเนื้อหาสืบสวนที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง
ติดตามหนังฝรั่งมาใหม่น่าดูได้ที่: รีวิวหนังฝรั่ง
รีวิว Operation Fortune: Ruse de Guerre (2023) รายละเอียดและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ควรยัดไว้ในเรื่อง แต่กลับไม่มี
เป็นที่น่าเสียใจที่ภาพยนตร์ Operation Fortune: Ruse de guerre ยังคงมีรายละเอียดและประเด็นที่น่าสนใจมากมายที่ยังไม่ได้ถูกตกแต่งให้สมบูรณ์ โดยมีปัจจัยต่างๆ ที่ขาดแคลน และนำเสนอเนื้อหาที่เชื่อมโยงกันอย่างไม่ขาดสายในบทสนทนา ถึงแม้ว่าจะมีคุณลักษณะเฉพาะและหลักการทางยุทธวิธีที่เป็นที่จดจำของผู้กำกับอยู่ก็ตาม กับนักแสดงนำหลากหลายท่านที่กำลังแย่งชิงบทบาท กลับปรากฏว่าพลังนักแสดงไม่สามารถดึงดูดอารมณ์และความสนใจจากผู้ชมได้เพียงพอ ด้วยการจัดวางฉากและองค์ประกอบที่ยังไม่ถึงจุดสูงสุด ผู้ที่คาดหวังเรื่องราวแอคชั่นสุดร้อนแรงอาจรู้สึกผิดหวังจากสิ่งที่พบเห็น
ครึ่งแรกของ operation fortune: ruse de guerre 2022 ออ ร์ สัน ฟอร์จูน ยังคงขาดเสน่ห์อย่างที่ควรจะเป็น แม้ว่านี่จะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่สร้างเรื่องราวและแนะนำตัวละครต่างๆ แต่มันก็ยังทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการออกแบบตัวละครซึ่งไม่มีมิติมากนัก ประกอบกับงานก่อสร้างก็ไม่รู้ว่าทุนไม่เยอะหรือเปล่า แต่มันเป็นสิ่งที่หนังขาดความสมจริงและความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง
“เจสัน สเตแธม” ยังคงมีบทบาทซ้ำๆ ในสไตล์ของเขา ตัวละครของเขาไม่แตกต่างจากผลงานครั้งก่อนมากนัก สไตล์การแสดงและการแสดงของเขายังคงเหมือนเดิมแม้ว่าจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็ตาม แต่น่าเสียดายที่การใช้สไตล์นี้ในหนังเรื่องนี้ยังคงใช้งานไม่ได้ดีนัก เจสันก็คือเจสันเช่นเคย
จะมีแต่ “ออเดรย์ พลาซา” เท่านั้นที่จะมาขโมยซีนและเพิ่มเสน่ห์ให้กับหนังเรื่องนี้แบบมีลูกเล่น แต่นักแสดงชื่อดังคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น “Hugh Grant” หรือ “Josh Hartnett” ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เพราะพวกเขาค่อนข้างผิดหวัง ภาพยนตร์เรื่องนี้มีดาราที่มีรูปร่างขนาดนี้มาแข่งขันกันเพื่อบทบาทของพวกเขาบนหน้าจออย่างแน่นอน แต่วิธีการแสดงของพวกเขาไม่ได้ผลดีนัก บทบาทของตัวละครแต่ละตัวยังค่อนข้างแห้งแล้ง เอานักแสดงมืออาชีพมากำกับพวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นนักแสดงสมัครเล่นหรืออะไรทำนองนั้น
Operation Fortune: Ruse de Guerre ปฏิบัติการระห่ำโคตรคนฟอร์จูน (2023)
ความรู้สึกหลังรับชม: Operation Fortune: Ruse de Guerre
หนังยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมคือการนำตัวละครจำนวนมากมารวมตัวกันในเรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาอย่างรวดเร็วและกระชับ แม้จะมีบทสนทนาที่ค่อนข้างยืดยาว แต่ก็ประกอบไปด้วยความละเอียดอ่อนและตัวประกอบสำคัญที่เป็นจุดสำคัญในแต่ละช่วงจนถึงคลาสสรุปของเรื่อง ซึ่งเป็นลายเซ็นที่เฉพาะตัวซึ่ง Guy Ritchie ได้ฝากไว้ในทุกๆ ภาพยนตร์ ปฏิบัติการ ล่า ระห่ำ โค ร ต คน ฟ อ จู น ของเขา
สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ประสบการณ์ที่ตื่นเต้นที่สุดคือในช่วงตอนจบที่นำเสนอฉากแอ็คชั่นอลังการเป็นเวลาประมาณ 20 นาที เต็มไปด้วยความมันส์ที่ยากที่จะละสายตา แต่ในช่วงก่อนหน้านั้น ภาพยนตร์ดูเชื่องช้าและขาดการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง ดูเหมือนภาพยนตร์จะเดินตามสูตรสำเร็จของหนังแนวสายลับที่ภาพยนตร์ส่วนใหญ่มักจะจบลงด้วยแบบแผนที่ผู้ชมคาดคะเนได้.
สำหรับตัวละครหลายตัวในเรื่อง พรสวรรค์ของกาย ริตชี่อยู่ที่การทำให้ตัวละครแต่ละตัวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นกว่าตัวละครอื่นๆ สุดท้ายแล้วตัวละครก็โดดเด่นมาก แต่มันไม่ได้ถูกใช้มากนักในช่วงไคลแม็กซ์ของเรื่อง ดูเหมือนว่าทุกคนจะมีความสามารถเฉพาะตัวที่ถูกสร้างขึ้น ในตอนท้ายเรื่องราวควรจะถูกทำให้เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ได้ดึงมันออกมาเลย มีเพียงการกระทำที่ใครๆก็ทำได้ การที่ปูมาตั้งแต่ต้นคือจุดจบ ปูมาที่นี่ทำไม? มันเศร้ามาก
สำหรับผมภาพรวมของหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่ามันน่าผิดหวังเมื่อพิจารณาจากความคาดหวังของผู้กำกับที่ชื่อกาย ริตชี่ เพราะหนังเป็นไปตามสูตรไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เรื่องราวทั้งหมดกินเวลาเกือบสองชั่วโมง มันกลายเป็นหนังธรรมดาๆ ที่ดูเพลินๆ ก็พอแล้ว
ร่วมติดตามผลงานดราม่านิยายวิทยาศาสตร์ “The Kitchen” ได้ที่: รีวิวหนัง The Kitchen เดอะ คิทเช่น
