รีวิว Frozen – ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ
Elsa และ Anna ผลงานชิ้นเยี่ยมของ Walt Disney ถือเป็นหนัง animation แห่งปีที่ทุกคนกล่าวถึงในเวลานี้ และกลายเป็นบทเพลงขับขานที่ขึ้นแท่นอันดับ 1 ภายใน 1 สัปดาห์ >< สุดยอดดด เรื่องราวของสองพี่น้อง ที่ถูกอำนาจแห่งเวทมนต์และกาลเวลาพลัดพรากความสัมพันธ์ เพราะเอลซ่าที่มีพลังวิเศษ แต่เธอไม่สามารถควบคุมมันได้ ทำให้เธอต้องหนีเพื่อไม่ต้องการทำร้ายใคร แอนนา น้องสาวที่แสนใสซื่อ เธอหวังเพียงแต่ได้พบพี่ตั้งแต่เด็ก ทั้งที่ได้เจอกันแล้วกลับต้องพลัดพรากอีก
คราวนี้เธอคงไม่ยอมให้โชคชะตาตัดสิน แต่เธอเองที่จะเปลี่ยนชะตาของเธอและเอลซ่า สุดท้าย…. ความรักก็เป็นสิ่งที่ชนะสิ้นทุกสิ่ง ประทับใจสุดๆ ค่ะ กับเรื่องนี้ หนังไม่น่าเบื่อ ด้วยการดำเนินเรื่องแบบบทเพลงของ Disney ครั้งนี้ก็ยอดเยี่ยมอย่างเคย เพลงเพราะมาก โดยเฉพาะเพลงที่เอลซ่าร้อง ในเพลง Let it go และเพลงที่เอลซ่ากับแอนนาประสานเสียง For the first time in forever นอกจากนี้ เพลงที่น่ารักสดใสอย่าง Do you want to build a snowman? ก็สร้างอารมณ์ของแอนนาที่อยากมีเพื่อนเล่นให้ผู้ชมอดสงสารไม่ได้เลยทีเดียว ทั้งน่ารัก สวยงาม อลังการ ทุกอย่างลงตัวใน “Frozen”
หนังเรื่องนี้ให้ทั้งความสุข ความสนุกสนาน ตลก รัก เรียกได้ว่าครบรส มีหักมุมที่คาดไม่ถึงก่อนไปดู โปสเตอร์หลอกเรามากเลยค่ะ 5555 สนุกมากๆค่ะ ^^ แม้จะตามติดมาด้วย The Hobbit 2 ที่จะฉายในสัปดาห์ถัดมา
รีวิว Frozen – ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ
ห่างหายจากการรับชมแอนิเมชั่นสไตล์เพลงๆ ร้องๆ ไปนานพอสมควร วันนี้ได้มีโอกาสอีกครั้ง เมื่อได้พบกับ ‘Frozen ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ’ ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องใหม่จากค่าย Walt Disney Pictures ที่คราวนี้หยิบเอาเรื่องราวของราชินีน้ำแข็งมาสร้างเป็นแอนิเมชั่น 3 มิติที่ภาพออกมาดูสวยสดงดงามจริง
แต่มันก็ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะเขาจะสร้างมันออกในแบบที่มีตัวละครร้องเพลง สลับกันไปกับการพูดสนทนา ผ่านเรื่องราวสไตล์เจ้าหญิงเจ้าชาย แต่มีพระเอกเป็นคนธรรมดา หนังเรื่องกำกับโดย Chris Buck และ Jennifer Lee ซึ่งทั้งสองคนก็นำเค้าโครงเรื่องมาจาก “The Snow Queen” ของ Hans Christian Andersen อีกทีครับ
เรื่องราวที่ย้อนไปในวัยเด็กของพี่น้องสองสาวที่เป็นสาเหตุของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งหมด เอลซ่า (Idina Menzel) พี่สาวที่เกิดมาก็มีพลังเยือกแข็ง จับต้องสิ่งใดก็จะเย็นจัดน้ำแข็งจับ วาดมือไปทางใดก็ฟาดน้ำแข็งใส่ได้ เดินผ่านที่ใด ที่นั่นก็กลายเป็นน้ำแข็งได้ ความที่ยังไม่สามารถควบคุมพลังของตนได้ พลั้งมือไปจึงถูกกันแยกต่างหากกับอันนา (Kristen Bell) น้องสาวตัวเอง จนถึงวันที่ต้องขึ้นรับตำแหน่งราชินีความผิดพลาดอีกครั้งทำให้ทั้งเมืองทั้งทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง เธอขายหน้าจนต้องหนีไปอยู่คนเดียวสร้างปราสาทน้ำแข็งของตัวเองอยู่ไกลๆ ทุกคนต่างหวาดกลัวในพลังที่ตนไม่เข้าใจ มีเพียงน้องสาวที่ยังเชื่อในตัวพี่ และวาดหวังว่าตนจะทำให้เธอกลับมาได้ ดูหนัง
เนื้อเรื่อง
นอกเหนือไปจากสองสาวเจ้าหญิงแห่งเมืองนี้แล้ว ก็ยังจะมีตัวละครชายสองตัวที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คนหนึ่งเป็นเจ้าชายและอีกคนเป็นมนุษย์หิมะที่ร่วมเป็นตัวหลักในการดำเนินเรื่องที่เรียงร้อยด้วยกันเพลงเพราะๆ จากปากของตัวละครต่างๆ ในสไตล์ละครบรอดเวย์ คือ พูดบ้างร้องบ้างสลับๆ กันไป นานพอสมควรที่เราไม่ได้เห็นแอนิเมชั่นเพลงแบบนี้ ล่าสุดที่เคยประทับใจกันไปจากดิสนี่ย์ก็คงจะเป็น ‘Tangled’ หรือ ราพันเซล นั่นแหละ
ด้านงานภาพนั้น ถือได้ว่าเป็นการออกแบบ ลงสีและทำภาพ 3 มิติได้สวยสดงดงามเรื่องหนึ่ง ผสานกันไปได้ด้วยกับการดำเนินของเนื้อเรื่อง ที่ถึงจะไม่แปลกใหม่ อาจจะไม่ตื่นเต้นเร้าใจอะไรมากเท่า Tangled แต่ก็นับได้ว่าไม่เลว
ยอมรับเลยว่าก่อนได้ดู Frozen นั้นไม่ค่อยคาดหวังสักเท่าไร เนื่องจาก Frozen นั้นเป็น Animation ที่ใช้เจ้าหญิงเป็นตัวเอก และมีฉากร้องเพลงเยอะๆ เหมือนอย่าง Disney สมัย 10 กว่าปีก่อน จึงทำให้รู้สึกว่าตัวเองนั้นเกินวัยกับ Animation แบบนี้ไปเสียแล้ว อีกทั้งด้วยตัวละครที่เห็นแว๊บแรกก็ต้องแอบนึกถึง Animation เมื่อปีก่อนอย่าง Tangled อย่างเลี่ยงไม่ได้ เลยแอบคิดเอาเองว่า Frozen น่าจะเป็นอนิเมชั่นแบบซ้ำๆ ของ Disney อีกเรื่องนึง แต่สุดท้ายกลับต้องประหลาดใจเมื่อ Frozen นั้นเป็นมากกว่า Animation ดาษๆ ที่ถ้าพลาดไปคงเสียดายสุดๆ ซึ่งเหตุผลเพราะอะไรนั้น ลองอ่านกันดูครับ ดูหนังออนไลน์
การดำเนินเรื่อง
โดย Frozen นั้นเล่าเรื่องของ เอลซ่า และแอนนา สองพี่น้องทายาทแห่งอาณาจักรอาร์เรนเดล ซึ่ง เอลซ่า ผู้พี่นั้นดันมีพลังน้ำแข็งที่เปรียบเสมือนคำสาปที่ต้องปิดบังไว้ จนกระทั่งวันหนึ่งพลังนี้ก็รุนแรงเกินกว่าจะควบคุมจนทำให้ทั้งเมืองนั้นมีแต่ฤดูกาลแห่งความหนาวเย็นไปตลอดกาล ทำให้ภารกิจการแก้คำสาปของแอนนาเพื่อช่วยเหลือทั้งพี่สาวและชาวเมืองจึงเกิดขึ้น แน่นอนว่าหลังจากฟังพล็อตแล้วก็ดูไม่ใหม่สักเท่าไร อีกทั้งยังออกจะเป็นแนวนิทานซ้ำๆ เสียด้วยซ้ำ
ซึ่งความเจ๋งของหนังก็คือ ถึงแม้ว่าคนดูเห็นแค่ฉากแรกเพียงไม่กี่นาทีก็สามารถคาดเดาเรื่องต่อไปได้เป็นฉากๆ ตั้งแต่ต้นจนจบจากบทที่ซ้ำๆ และสูตรเดิมๆ แต่ Frozen ทำให้บทเชยๆ ที่มีอยู่ในมือนั้นออกมาดูสนุกและไม่มีความน่าเบื่อเลยแม้แต่ฉากเดียว ทั้งการปรับโทนให้เข้ากับยุคสมัยทั้งบทพูดที่ดูทันสมัยขึ้น ทั้งพฤติกรรมของตัวละครที่ไม่ได้วาดภาพเจ้าหญิงให้ออกมางอมืองอเท้ารอให้เจ้าชายมาช่วยเหมือนอย่าง Snow White, Sleeping Beauty และอื่นๆ แบบในสมัยก่อนอีกต่อไป แต่เปลี่ยนพวกเธอให้เป็นขาลุยที่พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาด้วยตัวเอง แถมในบางครั้งก็ยังเป็นฝ่ายรุกผู้ชายก่อนเสียด้วย ทำให้ความแตกต่างที่ว่านี้เปลี่ยนสูตรเดิมๆ ให้ดูสนุกขึ้นได้เป็นอย่างมาก
รีวิว
อีกส่วนหนึ่งที่เอื้อให้หนังดูสนุกมากขึ้นนั้นก็คือจังหวะการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างกระชับ และมีการขับเคลื่อนไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาจนทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ใน Frozen นั้นจึงมีแต่เนื้อหาที่น่าติดตามอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงคาแรคเตอร์ตัวละครแต่ละตัวที่สร้างสีสันและเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะตัวละครขโมยซีนอย่างโอลาฟนั้น ถือเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์และเรียกเสียงหัวเราะระดับ 10 กะโหลกได้อยู่ทุกครั้งที่มันอ้าปากเลย และนอกจากข้อดีต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น Frozen ก็ยังมีเรื่องภาพและเพลงประกอบที่น่ายกนิ้วให้อีก เพราะภาพฉากหิมะในเรื่องนี้นั้นทำออกมาได้อย่างประณีตสวยจนตรึงไว้ไม่ให้คนดูละสายตาไปไหน ส่วนเพลงในเรื่องก็ทำออกมาได้ดีมีพลังในหลายฉากจนอยากจะได้ Soundtrack มาเก็บทันทีหลังจากดูจบ ดูหนัง4k
โดยสรุปแล้ว Frozen นั้นคือการผสานระหว่างความคลาสสิคที่ปรับให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว ถึงแม้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่ Frozen ก็ยังคงเสน่ห์ของความเป็น Disney ในยุคก่อนๆ ได้เป็นอย่างดี เหมือนอย่าง “Get a horse” หนังปะหัวในช่วงต้นที่ใช้ Animation ของ Mickey Mouse ที่เป็นภาพขาวดำในยุคก่อนมาผสานกับเทคนิค Animation 3D ก็บอกเป็นนัยๆ ว่าถึงแม้ว่ารูปแบบการนำเสนอจะเปลียนไปแต่หัวใจของความเป็น Disney ก็ยังคงเหมือนเดิมครับ ทำให้สำหรับผมแล้ว Frozen เป็น Animation ที่ผมประทับใจมากที่สุดของปีนี้ และควรค่าที่สาวก Disney ยุคก่อนๆ ควรไปรับชมเป็นอย่างยิ่งครับ
ช่วงแรกของหนังทำมาได้มี Dynamic มาก มีพลัง อิ่มเอม และเป็นการ Tribute ให้กับ Musical Animation ในอดีตได้อย่างดี
เจ้าหญิงทั้ง Anna (Kristen Bell) และ Elsa (Idina Menzel) ถูกสร้างมิติขึ้นมาให้เราช่วยลุ้นไปกับทั้งสองตัวละครได้ดี
ช่วงที่สองของหนังเป็นการเดินทางไปหยุดคำสาปตามตัวอย่างที่เราได้ดูกัน
หนังได้เพิ่มมิติตัวละครขึ้นมาอีกสามตัว คือ Kristoff ผู้ทำอาชีพขายน้ำแข็ง ในหน้าหนาวเขาจะขายได้อย่างไร จึงต้องร่วมทางไปหยุดคำสาปโดยปริยาย
กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์อีก 2 ตัวทั้ง Sven กวางเรนเดียร์คู่ใจ Kristoff และ Olaf มนุษย์หิมะสุดฮา ที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาด้วยความใส่ใจ
ถึงแม้นึกว่าจะเป็นตัวเรียกเสียงฮา (ซึ่ง Olaf ก็ทำได้จริง 70% ของเสียงฮาในเรื่องมาจากเขาคนนี้นี่แหละ เกือบทุกมุกมาถูกจังหวะหมด)
แต่ตัวละครนี้กลับมีมิติมากกว่าแค่ตัวฮา เพราะเราสามารถสัมผัสถึงความไร้เดียงสาของมนุษย์หิมะตัวนี้ได้จริงๆ ว่ามีจิตใจดีมาก ดูหนังออนไลน์4k
รีวิว ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ
เรียกได้ว่า Frozen ทำออกมาได้ถึงมากๆ แม้จะไม่ขยี้ใจคนดูให้ต้องปล่อยโฮแบบสุดๆ
แต่กลับเป็นโมเมนท์น้ำตาคลอที่ทำออกมาได้ถึงใจ
บทสรุปของเรื่องทำให้เรา Feel Good และประทับใจการเดินทางของทุกตัวละครในเรื่อง
ยกระดับคำว่า Animation ขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น ด้วยบทที่ปั้นออกมาจนเป็นจุดแข็งหรือแก่นของเรื่อง ที่หากเป็นต้นคริสต์มาสตร์ก็ถือว่าแข็งแรง ไม่โยกตามลม
ตัวละครทุกตัวเสมือนของขวัญและเครื่องประดับที่ทำให้ต้นคริสต์มาสตร์ต้นนี้มีสีสัน และน่าดู
สุดท้ายคือลูกเล่นของมัน ที่เสมือนไฟระยิบระยับ ทำให้เราตื่นตาตื่นใจกับต้นคริสต์มาสตร์ต้นนี้หากคุณต้องการหนังที่ตอบสนอง Issue ในการมอบความสุขให้คุณ
Frozen คือตัวเลือกเบอร์ 1 ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าได้เป็นอย่างดี
วันที่ 5 ธันวาคมนี้จะขอไปดูแบบพากษ์ไทยอีกรอบหนึ่งครับ ว่าน้องหนูนา กับน้องแก้ม จะทำออกมาได้ดีตามต้นฉบับหรือเปล่า
เรื่องย่อ
เรื่องนี้เริ่มขึ้นจากอาณาจักรเอเรนเดลล์ พระราชามีลูกสาว 2 คน คือแอลซ่าและอันนา แอลซ่าเกิดมาพร้อมพรวิเศษที่สามารถเสกน้ำแข็งและหิมะได้ตามใจ คืนหนึ่งที่ทั้งสองได้เล่นกันท่ามกลางกองหิมะเสก แอลซ่า เผลอปล่อยมนต์ไปถูก อันนา ตรงหัว ทำให้ผมปอยหนึ่งของเธอเป็นสีขาว และตัวก็เย็นเป็นน้ำแข็ง หลังจากนั้นแอลซ่าก็เก็บตัวเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายกับใครอีก โดยเธอต้องสวมถุงมือ 1 คู่ เพื่อฝึกควบคุมพลัง และเพื่อไม่ให้ความลับดังกล่าวหลุดรั่วออกไป พระราชวังก็ไม่เปิดรับใครอีกเข้ามาอีกเลย ตอนนี้มีซีซั่น 2 เรียบร้อยแล้วค่ะ หากใครสนใจก็ไปดูกันได้นะคะ
Frozen
ปีที่สร้าง 2013
ความยาว 102 นาที
กำกับโดย Chris Buck และ Jennifer Lee
สรุปโดยรวม
เรื่องราวของ “Frozen” พูดถึงคำทำนายที่ทำให้อาณาจักรหนึ่งต้องตกอยู่ภายใต้ฤดูหนาวอันเยือกเย็นและโหดร้ายตลอดกาล”แอนนา” สาวน้อยช่างฝัน (พากย์โดย คริสเทน เบลล์) จึงร่วมมือกับ “คริสตอฟ” มนุษย์ภูเขาผู้กล้าหาญ ในการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่เพื่อที่จะตามหา “ราชินีหิมะ” (พากย์โดย อีดิน่า เมนเซล) และยุติคำสาปน้ำแข็งอันหนาวเหน็บที่ปกคลุมอาณาจักรแห่งนี้มาอย่างยาวนาน การผจญภัยสุดหฤโหดภายใต้สภาวะอากาศอันโหดร้ายดั่งเทือกเขาเอเวอร์เรส การเผชิญหน้ากับสัตว์ในตำนานและมนตราในทุกย่างก้าว แอนนาและ คริสตอฟต้องฝ่าฝันและเอาชนะทุกอย่างที่มาขัดขวางการปกป้องอาณาจักรจากการล่มสลาย
วอลท์ ดิสนีย์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์ เสนอ เรื่องราวมหากาพย์การผจญภัยและอารมณ์ขัน ใน “Frozen” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 5 ธันวาคม 2556 กำกับการแสดงโดย คริส บัค (“ทาร์ซาน”, “เซิร์ฟส์ อัพ”) อำนวยการสร้างโดย ปีเตอร์ เดล เวคโค (“วินนี่ เดอะ พูห์”, “เดอะ พรินเซส แอนด์ เดอะ ฟรอก”) “Frozen” ให้เสียงพากย์โดยนักแสดงสาวที่มีทั้งงานหนัง/ทีวี/และละครเวที คริสเทน เบลล์ ในบท แอนนา สาวช่างฝันที่ต้องพบกับการผจญภัยครั้งสำคัญในชีวิต และนักแสดงเจ้าของรางวัลโทนี่ อวอร์ด อีดิน่า เมนเซล ในบท เอลซ่า ราชินีหิมะ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เพลงประกอบจากฝีมือของสุดยอดนักแต่งเพลงผู้ยิ่งใหญ่แห่งบรอดเวย์ โรเบิร์ต โลเปซ และ คริสเทน แอนเดอร์สัน-โลเปซ
ชอบตรงที่เป็นหนังเรื่องแรกของดิสนี่ย์ที่แหกกฏเทพนิยายหลายอย่าง ตั้งแต่มีเจ้าหญิงในเรื่องสองคน มีพล็อตเรื่องหักมุม คือไม่คิดว่าการ์ตูนดิสนี่ย์จะมีหักมุมกะเค้าด้วย เก๋อ่ะ 5555แม้ประเด็นของหนังจะธรรมดาคือเคยเห็นในหนังหลายเรื่องมาแล้วอย่างมิตรภาพระหว่างพี่น้อง ประเด็นการยอมรับตัวเองแต่หนังทำได้คลาสสิกผสมกับการเล่าเรื่องและมุขตลกสมัยใหม่และภาพ 3D ได้เป๊ะเวอร์ คือสนุกน่ารักคลาสสิกและไม่เชยฮะ เพลงเพราะและป๊อปมากเป็นการ์ตูนมิวสิกคอลที่อีกไม่กี่ปีจะเป็นอมตะและมีคนเอามาทำเป็นละครเวทีมิวสิกคอลแน่ๆฮะ การตูนสั้นก่อนเข้าเรื่องก็สนุกมาก ใครเป็นแฟนมิกกี้เม้าส์ไม่ควรพลาดเด็ดขาดฮะ
สรุป
ชอบมากเป็นหนังดิสนี่ย์ที่ชอบมากที่สุดของปีนี้และปีที่แล้วเลยปีนี้ยังชอบ The Croods มากที่สุด รองลงมาคือ Frozen และ Monsters Universityใครชอบหนังดิสนี่ย์ยุคคลาสสิกไม่ควรพลาด ใครชอบมิกกี้มินนี่ ก็ไม่ควรพลาดฮะ ผู้หญิงน่าจะชอบเรื่องนี้มากกว่าผู้ชายแมนๆ ให้คะแนนความชอบ 9 /10