รีวิวหนัง ข้านี่แหละ นิค ฟักกลิ้ง เคจ
ถึงจะจั่วหัวไปแบบนั้นและมันก็เป็นเรื่องจริงนั่นแหละ ทว่า The Unbearable Weight of Massive Talent หรือชื่อไทย ข้านี่แหละ นิค ‘ฟักกลิ้ง’ เคจ ก็เป็นงานในระดับที่คนทั่วไปยังสามารถดูสนุกสนานได้ด้วยตัวเรื่องของมันเอง รีวิวหนัง ข้านี่แหละ นิค ฟักกลิ้ง เคจ ถึงแม้จะถูกอัดอีสเตอร์เอกยุ่บยับราวกับให้แฟนๆ นิโคลัส เคจ ได้เล่นโฟโตฮันต์กันเต็มไปหมด แต่ด้วยสาส์นที่ชัดเจน และการแสดงอันยอดเยี่ยม นี่คืออีกหนึ่งโปรแกรมเฮฮาสบายๆ ที่สามารถตีตั๋วเข้าไปดูได้โดยที่ไม่เสียดายตังค์
รีวิวหนังฝรั่ง ข้านี่แหละ นิค ‘ฟักกลิ้ง’ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของนิโคลัส เคจ ที่เข้าฉายในไทย เนื้อหาว่าด้วยการให้ “นิโคลัส เคจ” เล่นเป็น “นิค เคจ” อารมณ์ว่าเล่นเป็นตัวเองกลายๆ ซึ่งมันไม่ใช่แค่กิมมิค แต่มันคือการนำด้านนั้นมาเล่นเป็นบทภาพยนตร์อย่างจริงจัง เสริมความตลกร้ายทีเล่นทีจริงเข้าไปจนมันออกมาอร่อยอย่างเหลือเชื่อ
ทั้งนี้ตัวของ นิโคลัส เคจ หลังจากฝ่ามรสุมมาเวลานี้ตัวเขาเองก็ราวกับอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกครั้ง หลังงานที่แล้วอย่าง Pig ได้ฝากฝังการแสดงระดับท้ารางวัลไว้ มาเรื่องนี้ก็กระแสดีไม่แพ้กันครับ แน่ล่ะว่ามันคงไม่รันทดดราม่าเท่าเรื่องก่อนหน้า ทว่าแม้โทนจะเบาลง ตลกและแอคชั่นมากขึ้น มันก็ไม่อาจบดบังการแสดงอันเฉิดฉายของพี่แกได้ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องเล่นฉากล้อตัวเองนี่ฮาแบบดับเบิ้ลเข้าไป
แต่คนเดียวว่าขำแล้ว เรื่องนี้เคจตีคู่มากับ เปโดร ปาสคาล ติ่งของ นิค เคจ ทั้งในหนังและเรื่องจริง เคมีเข้ากันในระดับคู่จิ้น แสดงอะไรเหมือนออกมาจากอินเนอร์จริงๆ ทั้งอาการเกร็งเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าไอดอล แววตาที่เป็นประกายเมื่อได้นั่งดื่มด้วยกัน มันทำให้ช่วงสององค์แรกเป็นอะไรที่ตลกและน่ารักบ้าบอมาก และเรารู้สึกจริงๆ ว่าหนังใหญ่ของเคจไม่ได้ให้อารมณ์แบบนี้กับตัวเรามานานมากแล้ว
เสียดายที่องค์สามโดยส่วนตัวรู้สึกว่าดรอปไปนิด หนังฝรั่ง เพราะพอหนังมันมาแนวทีเล่นทีจริงตั้งแต่เริ่ม ทำให้พอต้องแอคชั่นมันอาจไม่เดือดเท่าที่ควร กระนั้นการขมวดปมเนื้อเรื่องและประเด็นต่างๆ ก็ทำได้ดี ช็อตยิงมุกก็ไม่ฝืนนัก มันดูเป็นธรรมชาติสบายๆ เข้าถึงได้ง่ายๆ และทำให้รู้สึกว่ารักหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตามตัวผมเองเป็นคนที่ไม่ได้ดูงานเคจมาทุกเรื่อง อาจจะผ่านตาแค่หนังใหญ่ๆ มาบ้าง กับทำการบ้านก่อนดูเล็กน้อย ก็พบว่าตัวหนังอัดอีสเตอร์เอกหนังเรื่องก่อนๆ ของเคจเข้ามาเพียบ ไม่ว่าจะหนังดังหรือหนังเจ๊งต่างมีซีนมีไดอาล็อกพูดถึงกันหมด ดังนั้นใครที่เป็นแฟนหนังเคจจ๋าๆ ยังไงก็ฟิน ส่วนคนทั่วไปก็อาจรับอรรถรสได้ไม่เท่า แต่ขอแค่รู้จัก นิโคลัส เคจ พอเป็นพิธีก็ยังพอเอนจอยกับมันได้
The Unbearable Weight of Massive Talent ไม่ใช่หนังที่ดูยาก แต่ความอินขึ้นอยู่กับว่าคุณรู้จัก นิโคลัส เคจ ดีขนาดไหน เว็บดูหนังฟรี แต่แม้จะไม่เท่าไหร่ ด้วยตัวหนังเพียวๆ ก็ยังพอจะทำให้สนุกกับมันได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องมีมัลติเวิร์ส ไม่ได้ดราม่าหนักเกินไป แต่ก็มีฉากชวนซึ้งใจอยู่บ้าง หากอาทิตย์นี้ไม่มีอะไรดู ก็แนะนำเรื่องนี้เลยครับ
นิโคลัส เคจ ดาราฮอลลีวูดรุ่นใหญ่ตกอับ ดูหนังฟรี ที่แม้ว่าในอดีตจะเคยฝากผลงานอันยิ่งใหญ่เอาไว้มากมายทั้ง Con Air และ Face/Off แต่เขากลับต้องมาเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่มีใครจ้างงาน จนต้องจำใจยอมรับข้อเสนอที่ไม่น่าไว้วางใจให้เดินทางไปร่วมงานวันเกิดของ ฮาวี มหาเศรษฐีชาวเม็กซิกันแลกกับเงินหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐ และเขาก็พบว่ามหาเศรษฐีคนนี้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของตัวเขาเอง
แต่เรื่องราวสุดวายป่วงยังไม่จบลงแค่นี้ เมื่อเคจพบว่าภายใต้หน้ากากแฟนพันธุ์แท้ ‘นิค เคจ’ มหาเศรษฐีคนนี้คือ เจ้าพ่อค้ายารายใหญ่ที่เป็นที่ต้องการตัวของ CIA นั่นทำให้เขาถูกหมายหัวในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด เคจต้องตกกระไดพลอยโจนสวมบทบาทในอดีตที่เคยสร้างชื่อให้กับเขาเพื่อหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้
หนังเปิดมาได้อย่างน่าสนใจด้วยสภาพที่จมไม่ลงและพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายของพระเอกในการได้กลับมาเล่นหนังสักเรื่องหนึ่ง ท่ามกลางมรสุมของความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ต่อไม่ติดกับอดีตภรรยาและลูกสาววัยรุ่นที่ปฏิเสธการอยู่ใต้ร่มเงาของพ่อที่เป็นตำนาน จนเขาต้องตัดใจว่ามันคงหมดยุคของเขาแล้วจริง ๆ ดูหนังออนไลน์ ด้วยการยอมรับงานโชว์ตัววันเกิดเช่นเดียวกับพวกดาราตกอับเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ แล้วจะประกาศเกษียณจากอาชีพนักแสดงไปตลอดกาล
แต่โชคชะตาก็เล่นตลกกับเขาเพราะนายจ้างคนล่าสุดนั้นดันเป็นแฟนคลับเดนตายที่ต้องการเปลี่ยนใจให้เขามาแสดงหนังที่ตนเองเขียนบทรอไว้ให้ได้ ซึ่งถึงช่วงเวลานี้ของหนังต้องบอกว่ามีลูกเล่นและท่าทีรวมถึงบทสนทนาที่คมคาย เป็นงานคราฟต์โบรแมนซ์ที่ดีมาก ๆ ทีเดียว
ใครที่ติดตามข่าวตัวหนังมาระดับหนึ่งคงไม่ได้คาดหวังจะเห็นฉากบู๊สะบั้นแบบงานของ นิโคลัส เคจ (Nicolas Cage) ในยุคพีค ๆ หรืองานเกรดบีเอามันเช่นในช่วงหลัง เพราะหนังเรื่องนี้เป็นงานดราม่าตลกร้ายที่จิกกัดเสียดสีชีวิตในเส้นทางการแสดงหลายสิบปีของเคจมากเสียกว่า แค่เปิดเรื่องมาก็แทบจะอธิบายสิ้นสงสัยแล้วว่าทำไมช่วงหลังแกรับงานหนังไม่เลือกเกรดเสียขนาดนั้น จะบอกว่าเป็นงานที่ใกล้เคียง ‘Adaptation.’ (2002) ที่เคจรับบทเป็นฝาแฝดในแบบที่ไม่หนักข้อและเข้าถึงได้ง่ายกว่าก็ว่าได้
และคงต้องระลึกอยู่เสมอตลอดการรับชม ว่าเคจในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เคจที่เป็นนักแสดงในโลกความจริงที่เรารู้จัก แต่เป็นเหมือนตัวตนในอีกมัลติเวิร์สที่แตกแขนงออกจากตัวจริงมามากกว่า
เสียงในหัวของเคจที่มาในรูปลักษณ์ของตัวเขาสมัยเล่น Wild at Heart สะท้อนถึงความยึดติดในอดีตของตน
โดยเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นจาก ‘บทหนัง’ ที่ถูกจับตามองและยังไม่ถูกนำมาสร้างของฮอลลีวูด อาจด้วยเหตุผลของความยากในการผลิตหรือปัญหาอื่น ๆ ที่คนในวงการรู้จักดีว่าเป็นกลุ่ม ‘แบล็กลิสต์’ ซึ่งในปี 2019 โปรเจกต์หนังของผู้กำกับ ทอม กอร์ไมแคน (Tom Gormican) ที่เคยมีผลงานหนังโรแมนติกคอมเมดี้ 3 เพื่อนซี้ไม่อยากโสดเรื่อง ‘That Awkward Moment’ (2014) และมือเขียนบท เควิน เอตเทน (Kevin Etten) เรื่องนี้ก็ได้รับการชื่นชมให้เป็นแบล็กลิสต์ของปีนั้นเช่นกัน
พล็อตของหนังมีความสร้างสรรค์สูงและมีหน้าหนังที่ขายได้อย่างแน่นอนด้วยทุนสร้างที่ไม่ต้องสูงนักเพราะเน้นชูความคลั่งไคล้ในดาราไอคอนของหนังยุคหนึ่งอย่างเคจที่มีฐานแฟนคลับมาหลายรุ่น (เพราะแกมีหนังออกมาตลอด) โดยให้นักแสดงได้เล่นเป็นตัวละครสมมติที่เป็นตัวเองอีกที ซึ่งปัญหาเดียวคือถ้าเคจไม่รับเล่นหนังเรื่องนี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้ และทำให้บทหนังเรื่องนี้ค้างเติ่งไม่ถูกสร้างมาหลายปี ซึ่งสำหรับเคจด้วยเนื้อหาที่พูดถึงการเป็นตัวเขาเองมันก็สุ่มเสี่ยงที่หากไปอยู่ในมือผู้สร้างที่ไม่เคารพเขา ก็อาจทำให้การแสดงหนังเรื่องที่ 100 ของเขานั้นเป็นตราบาปไปชั่วชีวิตเลยก็ได้
รีวิวหนัง ข้านี่แหละ นิค ฟักกลิ้ง เคจ
Face/Off หนังที่ทั้งภูมิใจและทำให้เคจกังวลใจในเวลาเดียวกันว่ายุคของเขาได้พ้นผ่านไปแล้ว
สิ่งที่ต้องชื่นชมสำหรับเรื่องนี้นอกไปจากการนำเสนอและการแสดงที่ล้อตัวเองของเคจ คือการแสดงของ เปโดร ปาสคาล (Pedro Pascal) ในบทฮาวีที่ทั้งอ่อนไหวและดุดัน มีมิติหลายชั้นที่ทำคนดูรู้สึกผูกพันไปด้วยอย่างประหลาด ช่วงการสานสัมพันธ์ของชาย 2 คนที่ต่างกันทั้งที่มาและทัศนคติจึงสวยงาม น่าขันและละมุนอย่างที่สุด
ทว่าหนังก็เริ่มนำปมปัญหาเข้ามาเพิ่มเติม เมื่อเส้นเรื่องของเคจที่ต้องช่วยเหลือหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ อย่างจำใจ และเข้าไปเสี่ยงในปฏิบัติการที่เินตัวเขาไปไกล เป็นช่วงนี้เองที่หนังเริ่มเข้าสู่สถานะของการโกหกตัวเองเพื่อให้มีฉากขายสำหรับคนดูทั่วไปที่คาดหวังฉากแอ็กชันต่าง ๆ จริงแล้วตัวหนังก็พอรู้ว่ามันไม่เวิร์กเท่าไหร่ ถึงขนาดมีฉากที่ตัวละครมาถกกันด้วยซ้ำ โดยเคจเป็นตัวแทนของคนสร้างสรรค์งานศิลปะที่ยืนยันว่าฉากแบบนั้นมันไม่สมเหตุสมผล และเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองคือตัวแทนค่ายหนังที่เรียกร้องให้ยัดฉากทำการตลาดง่าย ๆ ลงไปบ้าง
ในบางทีการอุปมาเปรียบเปรยเรื่องของความหมายของการแสดง และการมีอยู่ของหนังสำหรับโลกใบนี้ ถ้าทำออกมาได้อย่างละเมียดมันคงเป็นหนังที่อิ่มฟินอุ่น แต่ด้วยฝีมือของการเล่าเรื่องของทีมสร้างมันทำให้ครึ่งหลังของหนังแปรเปลี่ยนไปเป็นหนังที่พร่องความสมบูรณ์ จะเป็นหนังดราม่าตลกร้ายก็ไม่สุด จะเป็นหนังปรัชญาเปรียบเปรยแบบแดกดันก็ไม่ถึง และจะให้เป็นหนังตลาดที่เถิดเทิงบ้าบอถูกใจคอหนังทั่วไปเลยก็ยังไม่ใช่
มันจึงคล้ายสถานะของการพยายามพาหนังให้จบลงเป็นพัสดุส่งถึงผู้ชมให้ได้ โดยเชื่อว่าคุณค่าของสินค้าภายในจะแข็งแรงพอให้คนดูพอใจ และหวังเอาว่าคนดูจะมองข้ามวัสดุรองกันกระแทกและลังกระดาษธรรมดา ๆ ที่เอามาเป็นกล่องภายนอกสุดไปได้ แน่นอนว่าคุณค่าของเคจที่เป็นแก่นกลางนั้นยังคงไม่ลดทอนไปแน่ ๆ แต่ในฐานะหนังเรื่องหนึ่งนอกจากธีมของเคจกับการแสดงของปาสคาลแล้ว เราก็แทบไม่มีอะไรให้อยากเก็บกลับเข้าบ้านไปด้วยเลย
นิโคลัส เคจ แสดงเป็น นิค เคจ ที่มีปัญหาทางด้านการเงินจะด้วยนิสัยส่วนตัวหรืออะไรก็ตามแต่ ทำให้วันๆ เขาคิดถึงแต่เรื่องหนังและการหาบทเรื่องใหม่เพื่อมาชดใช้หนี้ วันๆ เขาแต่คุยโทรศัพท์ เดินทางไปคุยกับผู้กำกับเพื่อตามตื๊อ จนแทบไม่เหลือเวลาให้กับครอบครัว อันนี้ก็ใกล้เคียงกับตัวจริงพอสมควรเลย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พี่แกรับงานแสดงหนังเป็นว่าเล่น รับแบบไม่สนว่าจะบทจะแย่แค่ไหน โปรดักชัน/ทุนจะน้อยหรือไม่ จนคนดูได้แต่ส่ายหัว ดูหนัง แต่ก็ดูเหมือนแกจะผ่านช่วงนั้นมาได้แล้ว หลังๆ ก็เลยเห็นว่า งานของแกมีทิศทางที่ดี มีคุณภาพขึ้นมากเลย
อย่างที่รู้กันว่า ในเรื่องนี้ ฮาวี (ที่แสดงโดย เพโดร ปาสคาล นั่นแหละ) เขาถูก CIA ตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นตัวอันตราย จนต้องใช้นักแสดงที่กำลังรับงานเอนให้รับจ็อบสองแฝงตัวเป็นสายลับจำเป็น บังเอิญว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีปัญหาครอบครัว บทหนังนำภารกิจใหม่ของเขามาผูกกับปัญหาครอบครัวได้อย่างลงตัว กลายเป็นความกาวที่สอดรับกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ในหนังเรื่องนี้ นอกจากจะเคจล้อชีวิตตัวเองแล้ว เว็บดูหนัง ก็ยังบอกเล่าถึงเรื่องราวในวงการหนังอีกด้วย ช่วงชีวิตหนึ่งของนักแสดงที่อาจสร้างหนี้สร้างสิน จนต้องวิ่งวุ่นหางาน ถึงขั้นต้องรับงานนอกที่นำพาให้ดาราได้มาเจอกับติ่งของตน แถมติ่งก็ยังเสนอบทหนังที่เขียนเองให้อีกต่างหาก หนังเลยเล่าล้อขนบวงการหนัง เรื่องบทที่มีตัวละครเป็นศูนย์กลาง เรียกว่าไปทุกทางแล้วเท่าที่จะไปได้ ไม่พอแค่นั้น เมื่อมันยังกลายเป็นหนังสายลับแบบป่วนๆ ที่คาดเดากันไม่ถูกว่าจะเจออะไรแบบไหนโดยเฉพาะกับตัวละครอย่างฮาวี หลายอย่างในนั้นคล้ายการจับแพะชนแกะที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
อีกอย่าง มันกลายเป็นของตัวเอกสองคนที่รักหนังหมดหัวใจ บทสนทนาของพวกเขาล้วนเกี่ยวกับหนัง ชนิดที่ว่า ถ้าคนดูเป็นแฟนของนิโคลัส เคจ อยู่ก่อนแล้ว น่าจะเต็มอิ่มกับทุกมุกในหนังเลยล่ะ
นักแสดงที่ชีวิตเริ่มจะตกอับ พยายามหาเงินจนไม่มีเวลาให้กับครอบครัว ทั้งเมียทั้งลูกต่างรู้สึกละเหี่ยใจกับผู้ชายคนนี้ โดยเฉพาะลูกสาว แอ็ดดี้ (ที่แสดงโดย Lily Mo Sheen หรือ Lily Sheen) ดูท่าเขาคงเครียดหนัก ถึงขนาดสร้างตัวตนของเขาอีกคนมาถกเถียงให้เราได้ฮา แต่ถ้ามองในมุมดราม่า มันคือความเจ็บปวดของลูกผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่อาจเป็นพ่อให้ลูกภาคภูมิใจได้ เขาอาจเป็นพระเอกที่แฟนคลับตัวยงคลั่งไคล้ แต่ไม่อาจเป็นพระเอกในใจลูกของตนเอง
เรื่องราวที่เริ่มต้นจากปัญหาครอบครัว เมื่อมันดำเนินไป ก็จะมีครอบครัวอยู่ในเหตุการณ์เสมอๆ ลงท้ายจึงทำให้ถึงกับน้ำตาซึม นี่แหละความสุขของพ่อคนนึง
โดยรวม คือหนังค่อนข้างจัดมาให้ทุกรส นอกจากชวนขำอารมณ์ดี เป็นจดหมายรักที่พูดถึงหนังของเคจ ก็ยังเปิดให้ลุ้นระทึกได้พอประมาณ ฉากแอคชั่นก็แทรกตัวเข้ามาพอกรุบกริบ ปมในหนังมีทั้งเรื่องงาน ภาพลักษณ์ เรื่องชีวิต และก็ยังมีปมครอบครัวอีกด้วย