รีวิว The Possession มันอยู่ในร่างคน
หนังหยิบเรื่องของกล่องดิบุก (dybukk) มาสร้าง โดยมีความเชื่อว่าใครที่ซื้อกล่องนี้ไปจะต้องเจอกับเหตุเลวร้ายตามมา และบรรดาเจ้าของกล่องใบนี้ก็อ้างผ่านทางอีเบย์ว่า พวกเขาเจอเรื่องแปลก ๆ เจมส์ แฮ็กซ์ทัน (James Haxton) ที่ซื้อกล่องจากงานเปิดท้ายขายของ เพื่อให้แม่เป็นของขวัญ
เล่าว่า แม่เกิดเส้นเลือดแตกแทบในทันทีที่ได้รับ แต่เขาก็ยังไม่เชื่อ จนพี่ ๆ น้อง ๆ ของเขารวมถึงของภรรยามานอนที่บ้าน และทุกคนฝันร้ายเรื่องเดียวกัน ข้อมูลจาก Live SciFi บอกว่า กล่องนี้ “มีวิญญาณร้ายสิงอยู่ ซึ่งเชื่อว่าเป็นวิญญาณ” ที่หลุดมาจากนรก กล่องถูกโพสต์ขายบนอีเบย์ ซึ่งบรรยายสรรพคุณว่า “กล่องเก็บไวน์แบบยิว” มีของแถม ได้แก่ ผม 2 ปอย, เทียนไข 1 เล่ม และวิญญาณที่ทำให้เกิดเหตุเหนือธรรมชาติ ดูหนัง
ในโลกทันสมัยไฮเทค คงไม่มีใครคาดคิดว่าวัตถุมนต์ดำ หรือของอาถรรพ์จะส่งผ่านมือกันได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้วคลิ๊ก แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วเมื่อเรื่องราวของกล่องไม้ขังวิญญาณ “ดิ๊บบัค บ็อกซ์” กลายเป็นประเด็นเลื่องลือในโลกไซเบอร์เกี่ยวกับตำนานความหลอน เพราะมันเป็นกล่อง
อาถรรพ์ที่กักขังดวงวิญญาณชั่วร้ายเอาไว้ ทว่าถูกนำเอามาขายในอินเตอร์เน็ตปะปนกับสิ่งของทั่วไป และแล้วความสยองก็ได้รับการส่งทอดในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนThe Possession เดอะ โพสเซสชั่น
คือผลงานการสร้างของ แซม ไรมี่ เจ้าของสตูดิโอ Ghost House Pictures (โกสต์ เฮาส์ พิคเจอร์ส) ที่สร้างหนังสยองขวัญที่ประสบความสำเร็จแล้วมากมาย เช่น Drag Me to Hell (แดรค มี ทู เฮล) และ The Grudge (เดอะ กรัดจ์) ได้เล่าถึงแรงบันดาลใจของการเอาตำนานกล่องไม้โบราณ
ของชาวยิวมาเล่าว่า “ผมได้อ่านบทความที่ชื่อ A jinx in a box (อะ จิ๊งซ์ อิน อะ บ็อกซ์) ที่ตีพิมพ์ไว้ใน LA Times (แอล เอ ไทมส์) เมื่อหลายปีก่อน ผมรู้สึกว่ามันมีความน่าสนใจ ที่ของโบราณจะถูกขายผ่านทางโลกออนไลน์ และทำให้ผู้ครอบครองทุกคนต้องพบกับเรื่องราวน่าขนลุก ผมจึงต้องการสร้างเรื่องสยองขวัญที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่ง และความพยายามทุกวิถีทางที่จะกำจัดมัน”
The Possession เดอะ โพสเซสชั่น เป็นเรื่องของ เอ็ม (นาตาชา คาลิส) วัยรุ่นสาวซื้อกล่องไม้โบราณมาจากร้านขายของเก่า แต่มันกลับทำให้เธอมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจนน่าขนหัวลุก ทำให้พ่อ (เจฟฟรี่ย์ ดีน มอร์แกน) และแม่ (เคียร่า เซ็ตวิก) ต้องร่วมมือกันเพื่อค้นหาความจริง และพบว่าแท้จริงแล้วกล่องไม้ชิ้นนี้ใช้เพื่อกักขัง “ดิ๊บบัค” วิญญาณร้ายที่เข้าสิงร่างมนุษย์และกัดกินดวงวิญญาณของผู้ใดก็ตามที่ครอบครอง
หนังอมตะบางเรื่องถูกยกให้เป็นหนังขึ้นหิ้ง เป็นหนังอมตะ ไม่เพียงเพราะประสบความสำเร็จด้านรายได้ หรือได้ชิงออสการ์เท่านั้น แต่เพราะยังได้สร้างเทคนิคบางอย่างที่สดใหม่ของยุคนั้นให้นักสร้างหนังรุ่นหลังดำเนินตาม The Exorcist ที่ออกฉายในปี 1973 เป็นตัวอย่างที่ดีของหนังขึ้นหิ้ง
หรือหนังอมตะ หนังเรื่องนี้ไม่เพียงได้ออสการ์มาสองรางวัล และประสบความสำเร็จจนมีภาคต่อออกมาหลายภาค เทคนิคที่ใช้ในการสร้างความรู้สึกที่น่ากลัว และชวนขนลุกก็ได้มีอิทธิพลให้หนังรุ่นหลังเลียนแบบตามมานักต่อนัก แม้แต่เนื้อเรื่องของหนังเองที่เกี่ยวข้องกับผีเจ้าเข้าสิง และการขับ
ไล่วิญญาณชั่วร้าย ก็ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้หนังรุ่นหลังมากมาย เมื่อเร็วๆ นี้ก็เช่น The Last Exorcism, The Rite, The Devil Inside และล่าสุดที่กำลังจะเข้าโรงฉายบ้านเราก็คือ The Possession ซึ่งยืมองค์ประกอบจากหนัง The Exorcist มาเกินครึ่ง และอาจยังทำได้ไม่ถึงครึ่งที่หนังคลาสสิคเคยทำไว้ แต่ก็สร้างความสยองขวัญได้ในระดับน่าพอใจครับ
รีวิว The Possession มันอยู่ในร่างคน
The Possession เป็นผลงานหนังฮอลลีวู้ดเรื่องที่สองของผู้กำกับชาวเดนมาร์ก โอเล่ บอร์เนดัล หลังจากเรื่อง Nightwatch ในปี 1997 และครั้งนี้ก็ได้แซม ไรมี่ มาช่วยสนับสนุนในฐานะผู้อำนวยการสร้าง โดยเอาแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของกล่องไม้ที่นำโชคร้ายมาให้และเคยเป็นข่าว
เล็กๆ ใน LA Times เมื่อปี 2004 มาสร้างเป็นหนัง ซึ่งตามข่าวบอกว่าเป็นกล่องที่ประมูลได้ผ่านทางอีเบย์ ที่ในกล่องมีทั้งปอยผม เศษเหรียญ กุหลาบแห้ง และอื่นๆ ที่เราเห็นกันในหนัง แต่ที่มองไม่เห็น และเชื่อกันว่ามีจริงก็คือดิบบัค (dibbuk) สัมภเวสีตามเรื่องเล่าปรัมปราของชาวยิว ที่จะ
เข้าสิงร่างกายคนเพื่อใช้เป็นทางออก หรือเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ซึ่งในข่าวบอกว่าผู้ที่ได้ครอบครองกล่องไม้นี้ก็โชคร้ายกันต่างๆนานๆ หรือบางทีก็เจอเรื่องแปลกประหลาดเหนือธรรมชาติ
หนังเปิดฉากโดยบอกเราว่า “อิงจากเรื่องจริง” และแนะนำให้เราได้รู้จักกับอาถรรพ์ของเจ้ากล่องไม้ผีสิงกันก่อน จากนั้นก็แนะนำตัวละครหลักที่เป็นครอบครัวที่บ้านแตกครอบครัวหนึ่งชื่อว่าครอบครัวเบรเน็ก ที่ไคลด์ (เจฟฟรี่ ดีน มอร์แกน) ผู้เป็นพ่อ กับสเตฟานี่ (ไครา เซ็ดจ์วิค) ผู้เป็นแม่ ได้แยก
กันอยู่มาราวหนึ่งปีแล้ว ทำให้ลูกสาวสองคนกลายเป็นเด็กมีปัญหานิดๆ โดยแฮนนาห์ (เมดิสัน ดาเวนพอร์ท) ลูกสาวคนโต กลายเป็นเด็กฉุนเฉียวและทำเป็นแกร่งเพื่อปกปิดความเศร้า ส่วนเอม (นาตาชา แคลีส) ลูกสาวคนเล็กวัยสิบขวบ ยังคงเพ้อฝันว่าสักวันพ่อกับแม่จะกลับมาคืนดีกัน ทั้งที่แม่ก็มีเบรทท์ (แกรนท์ ชอว์) แฟนหนุ่มคนใหม่ที่เป็นหมอฟัน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดูหนังออนไลน์
ความรู้สึกหลังดู
ต่อมา บทหนังก็ได้นำพากล่องไม้อาถรรพ์กับครอบครัวที่เป็นตัวเอกของเรื่องมาพบกัน เมื่อไคลด์ได้พาลูกสาวทั้งสองคนไปซื้อของที่บ้านหลังหนึ่งเอามาเลหลังขาย เอมถูกใจเจ้ากล่องไม้อย่างจังและขอให้พ่อซื้อ แม้ว่าจะมีลางบางอย่างเตือนเธอก่อนก็ตามว่าไอ้กล่องไม้นี้มีอะไรไม่ชอบมาพา
กลแฝงอยู่นะตามสูตรของหนังสยองขวัญทุกเรื่องที่จะต้องมีอะไรมาเตือนตัวละครก่อน แล้วเมื่อเอมเปิดเจ้ากล่องผีสิงนี้ได้ เธอก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตั้งแต่ก้าวร้าว กินจุ เหม่อลอย เหมือนที่เธอบอกว่า “เธอรู้สึกแปลกๆ ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง” แต่ทุกคนก็เดาว่าอาจเพราะปัญหาบ้าน
แตกทำให้กลายเป็นเด็กมีพฤติกรรมแบบนั้น จนกระทั่งไคลด์พบว่าเอมหมกมุ่นกับกล่องไม้มากเกินไป และครูของเธอก็ตายอย่างผิดธรรมชาติตอนที่ยึดกล่องไม้ของเอมไป ทำให้เขาได้คิดว่าคงมีเรื่องเหนือธรรมชาติมาเกี่ยวข้อง ยิ่งเมื่อเขาเอากล่องไม้ทิ้งแล้วเอมยิ่งแสดงพฤติกรรมอันน่ากลัวมาก
ขึ้นไปอีก ไคลด์จึงได้ศึกษาที่มาของเจ้ากล่องไม้นั่น และพบว่าเอมกำลังถูกผีสิง และในที่สุดก็ได้ลูกชายของแรบไบ (รับบทโดยนักร้องฮิปฮอป-เร้กกี้ แมทแททยาฮู) มาช่วยขับไล่วิญญาณร้าย ดูหนังออนไลน์4k
จะเห็นได้ว่าเนื้อเรื่องของหนังเอาแค่เรื่องจริงจากข่าวมาเป็นแค่แรงบันดาลใจเท่านั้น โครงเรื่องเอามาจาก The Exorcist เป็นหลักใหญ่ แล้วเปลี่ยนจากซาตานเป็นปีศาจเร่ร่อนดิบบัคแทน และใช้คำว่า “อิงจากเรื่องจริง” ไปเพื่อการตลาดมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าพอลดระดับของมารร้ายที่เป็น
อุปสรรคสำคัญของหนังจากระดับบอสใหญ่อย่างซาตานมาเป็นวิญญาณตามเรื่องเล่าปรัมปรา ความน่ากลัวของเรื่องราวจึงลดตามไปด้วย และการเอาชนะอุปสรรคก็ง่ายลงไปเช่นกัน และขณะที่ The Exorcist เป็นหนังผีที่บอกเล่าในเชิงสัญลักษณ์ถึงการรบระหว่างธรรมะกับอธรรมตามคติความ
เชื่อของคาทอลิก The Possession จะเป็นการเล่าในเชิงอุปมาถึงครอบครัวบ้านแตกที่ลูกกลายเป็นเด็กมีปัญหา แล้วพ่อแม่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคเพื่อสมานรอยร้าวเพื่อให้ลูกกลับมาเป็นคนเดิม
เทคนิคการสร้างความน่ากลัวของผู้กำกับบอร์เนดัลก็ไม่ได้มีอะไรใหม่ ยังคงใช้เทคนิคเสียงดังตึงตังให้เราตกใจ และใช้เสียงเหมือนสายเปียโนดีดดึ๋งดึ๋งเวลาที่จะมีอะไรน่ากลัวเกิดขึ้น ส่วนด้านภาพนั้นก็ยังใช้ฉากความมืด ลมพัดแรงๆ เหมือนหนังสยองขวัญที่เราเห็นมาเป็นสิบปี และก็มีฉากการ
จู่โจมของมอธที่อาจทำให้นึกถึงหนัง The Birds ด้วย แต่บอร์เนดัลยังคงใช้เทคนิคเหล่านี้สร้างความหลอนได้ในระดับน่าพอใจ และทำให้คนที่ไม่เบื่อหรือชินชากับสูตรเหล่านี้ตกใจได้อยู่ อย่างน้อยก็ทำให้ผมกลัวได้มากกว่าหนังเรื่อง The Rite ครับ
ส่วนฉากผีเจ้าเข้าสิงนั้น แม้จะไม่คลาสสิคและชวนสะอิดสะเอียนเท่าที่ลินดา แบลร์ แสดงไว้ใน The Exorcist แต่หนังก็ให้เด็กน่ารักอย่างนาตาชา แคลีส ได้ฉายแววด้านการแสดงด้วยฉากอารมณ์และพฤติกรรมที่หลากหลายตั้งแต่ก้าวร้าว เกรี้ยวกราด เศร้าสะเทือนใจ คลุ้มคลั่ง และพยาบาท
(พร้อมทาขอบตาดำ) มาช่วยให้หนังชวนน่าติดตามได้ เธอเป็นเด็กที่ทั้งสวยและน่าจะมีแววรุ่งต่อไปหากเลือกรับงานดีๆ เสียดายแค่หนังน่าจะทำฉากปรากฏร่างของดิบบัคได้น่าสะพรึงกลัวมากกว่านี้ ฉากนั้นยังไม่มีพลังพอเท่าใบปิดหนังเลย
นักแสดงคนอื่นก็ส่งบทบาทที่ดูธรรมดาให้ดูมีสีสันมากขึ้น เจฟฟรี่ ดีน มอร์แกน มีเสน่ห์ในบทพ่อที่อบอุ่น และสามีที่น่ารักจนไม่น่าเชื่อว่าจะถูกภรรยาทิ้งได้ เช่นเดียวกับแมทแททยาฮูที่แม้จะออกน้อยฉากก็ดูมีเสน่ห์ขึ้นจอ และช่วยพักอารมณ์เคร่งเครียดได้ในบางขณะ ส่วนไครา เซ็ดจ์วิค ก็ทำ
หน้าที่ได้ดีในบทภรรยาและแม่ที่เจ้ากี้เจ้าการและเช่นเดียวกับหนังสยองขวัญแบบนี้ทุกเรื่อง ฉากจบก็จะทิ้งฉากบางฉากเอาไว้เผื่อจะได้มีภาคต่อ แต่คงต้องรอผลตอบรับจากผู้ชมว่าจะอยากให้หนังสูตรสำเร็จที่พอดูได้เรื่องนี้มีภาคต่อไหมครับ