รีวิว Samaritan ซามาริทัน
ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022 เมื่อ 25 ปีก่อนโลกมีคู่แฝดเหนือมนุษย์ที่เลือกเส้นทางเดินคนละทางจนต้องห้ำหั่นกัน ฝั่งหนึ่งอยากช่วยเหลือผู้คนแต่อีกฝั่งอยากล้างแค้นสังคมที่เคยขับไล่พวกเขา ดูหนังออนไลน์ การปะทะกันครั้งนั้นทำให้ฝั่งตัวร้ายตายและฮีโรฝั่งดีก็หายสาบสูญไปนับแต่นั้น จนถึงปัจจุบันผู้คนกลุ่มหนึ่งก็ยังเชื่อมั่นและตามหาเขาอยู่เสมอ ดูหนังฟรี รีวิว Samaritan ซามาริทัน รีวิวหนังฝรั่ง
เป็นหนังที่น่าจับตามองนับตั้งแต่เห็นหน้าหนังแล้ว แค่ว่าเป็นหนังของ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Sylvester Stallone) ยอดนักบู๊ในยุคหนึ่งที่แม้จะโรยราแต่ก็ยังมีผลงานแนวแอ็กชันให้ได้ชมไม่ขาดอย่างล่าสุดคือ ‘Rambo: Last Blood’ (2019) ยิ่งพอหายจากจอไปหลายปีเช่นนี้ การกลับมาเลยน่าสนใจทุกครั้ง แถมยังเป็นหนังพลอตซูเปอร์ฮีโรวัยเกษียณอายุในยุคที่หนังฮีโรครองเมืองเช่นนี้ก็ยิ่งน่าสนใจ
หนังเป็นผลงานการกำกับของ จูเลียส เอเวอรี (Julius Avery) ที่เคยมีผลงานเด่นแบบโหดเข้มในหนังซอมบี้นาซีเรื่อง ‘Overlord’ (2018) ซึ่งแม้จะไม่ได้ขึ้นหิ้งแต่ก็น่าจับตามองให้ติดตามผลงานต่อไม่น้อย ยิ่งเรื่องนี้ได้มือเขียนบทอย่าง บราจี เอฟ. ชูต (Bragi F. Schut) ที่เคยมีผลงานอย่าง ‘Escape Room’ ทั้ง 2 ภาค รวมถึงทีวีซีรีส์แฟรนไชส์ ‘Ninjago’ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นมือเขียนบทที่มีไอเดียที่ชวนติดตาม ก็ถือว่าน่าสนใจทีเดียวในการจับคู่กันครั้งนี้
หนังเดินเรื่องผ่านสายตาของเด็กชายที่ชื่อ แซม นำแสดงโดยเจ้าหนู เจวอน ‘วอนนา’ วอลตัน (Javon ‘Wanna’ Walton) จาก ‘The Umbrella Academy’ ซึ่งเขาคลั่งใคล้ในเรื่องเล่าของสองพี่น้องยอดมนุษย์ฝาแฝดนาม ซามาริทัน และ เนเมซิส จนนำไปสู่การแอบติดตามคนเก็บขยะชรานามว่า โจ ที่น่าสงสัยว่าคือซามาริทันในอดีต
หนังปูปูมหลังเรื่องซูเปอร์ฮีโรนี้ให้เราแต่ต้นผ่านบทเล่าคล้ายนิทานในสายตาของแซม ซึ่งดีตรงเราเข้าใจมิติตัวละครได้เร็ว ทั้งปมดราม่าว่าพวกเขาในวัยเด็กเคยถูกรังเกียจจากผู้คนเพราะพลังที่มากกว่าคนทั่วไป จนนำมาซึ่งการลุกฮือขับไล่และจบด้วยความตายของพ่อกับแม่ของพวกเขาในเหตุเพลิงไหม้ ทำให้เนเมซิสเลือกทางที่จะล้างแค้นผู้คนและต้องปะทะกับซามาริทันที่เลือกทางช่วยเหลือผู้คน เหมือนสีขาวกับสีดำ จนเนเมซิสได้สร้างอาวุธแห่งความแค้นขึ้นมาเป็นค้อนที่สามารถฆ่าซามาริทันได้ นำมาสู่บทสรุปแสนเศร้าที่เนเมซิสตาย ส่วนซามาริทันก็เสียใจและหายตัวไปนับแต่นั้น
การเอาเด็กมาจับคู่กับฮีโรเกษียณที่อดีตมีปมและปัจจุบันไม่อยากยุ่งเรื่องของใครอีกแล้ว อาจไม่ใช่พล็อตใหม่มาก นึกไว ๆ ก็อาจคาดหวังไปหนังดราม่าเข้ม ๆ แบบ ‘Logan’ (2017) หรือถ้าไปทางหนังครอบครัวก็มีอีกหลายเรื่องเลยที่พอเทียบได้โดยแผลงไปทางสัตว์ประหลาดบ้าง มนุษย์ต่างดาวบ้าง ซึ่งชูตกับเอเวอรีก็รู้ดีพวกเขามีทางเลือกการนำเสนอมากมาย ให้เป็นหนังดราม่าว่าด้วยเรื่องคนแก่ผ่านมุมมองของโจก็ได้ ให้ไปทางหนังแฟนตาซีติดตลกผ่านสายตาแซมก็ได้ หรือจะไปทางหนังซูเปอร์ฮีโรสมัยนิยมระเบิดเถิดเทิงหรือธริลเลอร์เข้มข้นชวนตั้งคำถามก็ได้ แต่สิ่งที่ผู้สร้างเรื่องนั้นน่าสนใจทีเดียว
พวกเขามีธีมที่อยากนำเสนออยู่ในเรื่องของอะไรคือสีขาวหรือสีดำ ทุกคนต่างมีเหตุผลในการกระทำและต้องยอมรับผลที่ตามมา มนุษย์ล้วนเทาและไม่ได้ยึดถือเฉดใดเฉดหนึ่งไว้กับตัวตลอดชีวิต ในห้วงเวลาหนึ่งเขาอาจเทาเข้มในช่วงหนึ่งเขาอาจเทาอ่อนมาก ๆ และเมื่อหนังมีธีมเช่นนี้มันจึงอาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะเน้นดารานักบู๊ที่ดูดราม่าได้และมีความเก๋าให้คนยำเกรงพอตัวอย่างสตอลโลน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าบารมีของป๋าแกยังทำงานได้ดีสายตาเศร้า ๆ นิ่ง ๆ แต่น่าเกรงขามยังแผ่ออกมาจากการแสดงของแกได้ดี เมื่อเข้าคู่กับดาราเด็กที่มาแนวซนดื้อแต่ยังพอน่ารักก็ทำให้หนังมีเคมีที่ดีได้ ในแนวหนังดราม่าผสมแนวครอบครัวนิด ๆ
และแม้ทีมสร้างจะใช้แรงบันดาลใจจากหนังฮีโรไม่สวมเกราะอย่าง ‘Unbreakable’ (2000) แต่มันก็มีฐานที่ต่างกันที่เรื่องนั้นเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน (M. Night Shyamalan) ค่อย ๆ ชวนให้คนดูอยากรู้และสงสัยเต็มไปด้วยกลิ่นแบบคอมิกผสมธริลเลอร์ แต่ในเรื่องนี้ทุกอย่างมันกระจ่างพอควร ทำให้ผู้สร้างเองก็ต้องหาอะไรมาดึงความสนใจเพิ่มเติมซึ่งมันยังไม่ดีพอ
แม้จะมีจุดเด่นที่ดีแล้วทั้งธีมและเคมีนักแสดง แต่ปัญหาที่มีคือหลายอย่างมันดูฝืน ยิ่งดีไซน์ของตัวละครฮีโรในชุดเกราะเหล็กที่ว่ากันตามตรงมันโบราณและเชยมากราวกับไปลอกฮีโรคนดำเรื่อง ‘Steel’ (1997) มายังไงยังงั้น การสร้างอาวุธค้อนที่พล็อตเหมือนแหวนของเซารอนก็ดูเป็นอะไรที่ยัดเยียดเข้ามาแบบไม่กลืนกับเรื่องแถมไม่เท่อีก พลังของยอดมนุษย์ก็มีแค่พลังเหนือมนุษย์กับความอึดและฟื้นตัวได้ไวมันธรรมดาเหลือเกินในแง่ภาพ เหล่านี้เป็นจุดด้อยเมื่อพิจารณาว่ามันวางตัวเป็นหนึ่งในหนังฮีโรยุคปัจจุบันอันเห็นได้จากดีไซน์ฉากแอ็กชันและการเดินเรื่องต่าง ๆ
หนังยังพึ่งพิงจุดพลิกผันเพื่อขยายธีมของมันอย่างมากเกินไป และดันพลาดด้วยที่ฝืนพยายามในการซ่อนบางอย่างมากเกินพอดีจนกลายเป็นพิรุธให้คนดูเกิดคาดเดาได้ทัน ทำให้พลังในตอนเฉลยปมบางอย่างไม่ทำงานอย่างที่คิด และแทนที่จะหนังจะใช้งานเพื่อเล่นต่อไปทางดราม่าให้หนักขึ้น ปรากฎหนังก็ทิ้งดราม่าที่อุตส่าห์สร้างมาแล้วไปเล่นทางหนังแอ็กชันเสียแทนทั้งที่ปมความรู้สึกชัดแย้งระหว่างพระเอกและตัวร้ายนั้นดูน่าสนใจทีเดียว เหมือนจะรีบเพื่อไปสู่ฉากจบที่คิดไว้ว่าจะเป็นบทสรุปที่เท่สุด ๆ แต่มันไวและง่ายไปหน่อย
ดูจากจุดแข็งของหนัง จริงแล้วมันควรขายหน้าหนังว่าจะเล่นดราม่าและต้องการขายความเชยโดยตั้งใจเพื่อชูช่วงเวลาที่ทอดยาวและเน้นไปที่ธีมความขัดแย้งเชิงความคิดเรื่องดีชั่วผ่านตัวพระเอกและตัวร้าย อาจจะเล่าผ่านสายตาเด็กเพื่อให้หนังดูซอฟต์ลง แต่ที่มันพลาดคือหน้าหนังมันคลุมเครือแบบเหยียมแคมเรือฝั่งซูเปอร์ฮีโรแบบตลาดนิยมด้วยฉากระเบิดตึกเผาเมืองไว้ด้วยนั่นเอง
หนังซูเปอร์ฮีโร่ Amazon Prime Video นำแสดงโดย ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ทำมาจากคอมมิคของค่าย Mythos
เล่าเรื่องราวของหนุ่มน้อยที่หลงไหลในเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับฮีโร่เหนือมนุษย์ของเมืองที่หายตัวไปหลายสิบปี จากศึกครั้งสุดท้ายที่เขาต้องสู้กับแฝดน้องของตัวเอง ก่อนที่เขาจะพบความลับว่าชายแก่ในอพาร์ทเมนต์ฝั่งตรงข้ามคือฮีโร่คนนั้น
หนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ซิลเวสเตอร์เล่นในวัย 76 ปี แล้วก็เป็นค่ายหนัง Balboa Productions ของเขาเองด้วย นี่จึงเป็นโปรเจ็กต์ที่ปลุกปั้นโดยตรงจากซิลเวสเตอร์ โดยได้ Julius Avery เป็นนักเขียนบทภาพยนตร์และผู้กำกับภาพยนตร์ชาวออสเตรเลีย ที่ไม่ได้มีเครชื่อเสียงนักมากำกับเรื่องนี้ แต่โดยรวมก็ถือว่าเป็นผลงานที่โอเคเลยไม่มีข้อตกบกพร่องอะไรมาก แม้จะเป็นหนังทำลงสตรีมมิ่งทุนไม่สูงนักก็ตาม
ในยุคที่หนังแนวนี้เกลื่อนตลาดแล้ว การที่เรื่องนี้จะฉีกออกไปได้ก็ต้องมีพล็อตที่ดีก่อน เรื่องนี้จึงฉีกตัวเองมาเล่าเรื่องของซูเปอร์ฮีโร่วัยชราที่เกษียณตัวเองหลบลี้หนีผู้คนมาอยู่อย่างสันโดษ และไม่พยายามไม่กลับไปเป็นแบบตัวเองในอดีต ซึ่งนี่เป็นความลับสำคัญของเรื่องนี้ว่าทำไม เพราะอะไร แม้ตัวเด็กในเรื่องอย่างแซม (แสดงโดย Javon ‘Wanna’ Walton) จะพยายามอ้อนวอนให้เขากลับมาช่วยเมืองยามที่เกิดวิกฤต แต่โจ หรือ ซามาริทันเองกลับคิดต่างออกไป ซึ่งตัวเรื่องจะค่อยๆ เผยให้เห็นฉากในอดีตที่เป็นตำนานเล่าขานของเมืองว่าซามาริทันช่วยเหลือชาวเมืองจากตัวร้ายเจเนซิสที่เป็นแฝดน้องมีพลังแบบเดียวกับเขาไว้ได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้เองคือจุดพลิกผันชีวิตของโจและก็ทำให้ความคิดเรื่องการเป็นซูเปอร์ฮีโร่คืออะไรที่ผิดพลาดสิ้นดีในมุมของเขา
ตัวเรื่องมีมุมมองที่ค่อนข้างดูเรียลมากว่าโลกนี้ไม่ควรมีใครมาทำตัวเป็นซูเปอร์ฮีโร่ ซึ่งเหตุผลในเรื่องก็ถือว่าสมเหตุผลเลย เพียงแต่มันไม่ได้ใหม่นักในยุคที่มีฮีโร่สายดาร์คฉีกกรอบไปมากมายแล้วเช่นกัน อย่างเดอะบอย หรือแม้แต่แบทแมนเวอร์ชั่นโนแลนก็ด้วย พลังอันยิ่งใหญ่กลายเป็นปัญหาให้กับสังคมมากกว่าตัวร้ายที่ทำลายเมืองเสียอีก แต่คอนเซ็ปต์อันนี้มันถูกทำมาให้อยู่ในรูปฮีโร่วัยเกษียณติดดิน ทำงานเก็บขยะไปวันๆ หาของมาซ่อมแซมเอาไปขาย ซึ่งดูเข้ากันดีเลย แต่ก็ทำให้สเกลของเรื่องเล็กลง จำกัดวงแคบแค่ในเมืองสมมุติอย่างในเรื่องเท่านั้น ซึ่งทุนสร้างที่น้อยก็มีส่วนด้วยเช่นกัน
แต่ไม่ใช่ว่าตัวเรื่องนี้จะไม่มีฉากโชว์พลังอะไรมาก โดยรวมมันมีฉากที่โชว์พลังของซามาริทันเล็กๆ ได้อย่างสนุกน่าสนใจตลอดเรื่อง ตั้งแต่ฉากเปิดตัวจริงที่โดนรถชนไม่ตายในเทรลเลอร์จะเห็นว่าแทบเป็นอมตะฟื้นตัวได้ แต่ก็สร้างจุดอ่อนของฮีโร่ตัวนี้ให้เห็นแต่แรกเลยว่าพลังอมตะมีจุดอ่อนยังไง และก็ใช้มันเชื่อมต่อกับเรื่องราวของค้อนที่สร้างมาเพื่อทำลายซามาริทันได้อีก ทำให้ตัวร้ายได้ครอบครองและก็มีความสามารถฆ่าซามาริทันได้อีก โดยมีระเบิด EM ที่ทำลายระบบไฟฟ้ามาเป็นอาวุธหลักของตัวร้ายที่ใช้หลายฉากเลย แล้วก็จัดเต็มกับฉากสุดท้ายที่โชว์ให้เห็นว่าซามาริทันในโหมดบ้าคลั่งร้ายกาจแค่ไหน โดยมีเซอร์ไพรส์เล็กๆ แต่แอบว้าวพอสมควรกับจุดนี้ เสียแค่ว่าตัวเรื่องไม่ได้ใช้ประโยชน์จากตรงนี้ต่อไปมากอย่างที่คิด แล้วก็จบแบบไม่ทิ้งท้ายไว้ต่อเลยอีกต่างหาก (ในการ์ตูนก็เหมือนจบแค่นี้)
นอกจากฉากแอ็กชั่นแล้ว ตัวเรื่องก็ยังมีมุมดราม่าความสัมพันธ์ของแซมกับโจ ที่ตัวแซมเองเป็นเด็กน้อยที่มีความคิดอยากช่วยแม่หาเงิน แต่ก็เลือกทางผิดหลายครั้ง ตัวเรื่องทำให้เห็นว่าโจเองไม่พยายามเข้าไปช่วยมาก แต่ก็ปรามเมื่อแซมล้ำเส้นบางอย่างไป และการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ นี่เองที่ค่อยๆ เปลี่ยนให้แซมค่อยๆ เลือกเส้นทางที่ถูกต้องเองในภายหลัง และโจเองก็มีความผูกพันธ์กับแซมมากขึ้น เป็นดราม่าเล็กๆ ที่สอดแทรกตลอดเรื่องแบบค่อยๆ ซึมและทำได้ดีพอตัวเลยทีเดียว
ถือเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ลงสตรีมมิ่งที่ดูลงตัวในขอบเขตงบจำกัดกับการโชว์พลังที่ไม่ต้องพึ่ง CG อะไรมาก แต่ก็ทำให้คนดูสนุกไปกับเรื่องได้พอสมควร และการได้เห็นซิลเวสเตอร์ในวัยนี้มาเล่นบทซูเปอร์ฮีโร่ก็เป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก ใครเป็นแฟนนี่ห้ามพลาดเลยครับ รีวิว Samaritan ซามาริทัน
ท่ามกลางแวดล้อมในยุคที่วงการหนังถูกรายล้อมไปด้วยหนังประเภทซูเปอร์ฮีโร่ผลิตออกมาต่อเนื่องอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ถ้าหากว่าคุณยังไม่รู้สึกเอียนกับหนังแนวนี้ การมาอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ของหนังฮีโร่เรื่องล่าสุดก็อาจจะสะดุดตาและสะกิดใจได้อยู่ไม่น้อย เพราะคือ “Samaritan” หนังแอคชั่นฮีโร่เรื่องล่าสุดที่ได้แอคชั่นไอค่อนในตำนาน “ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน” มาผงาดในฐานะฮีโร่เต็มกายอย่างเป็นทางการ เมื่อคนอึด..มาเป็นฮีโร่ที่มีชุดประจำกาย มันจะออกมาเป็นอย่างไร?
Samaritan เป็นเรื่องราวของ แซม เด็กชายวัย 13 ปี ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการหาตัวตนของซูเปอร์ฮีโร่ของเมืองแกรนิตซิตี้ ที่ถูกเล่าขานต่อมากันหลายปี อย่าง ซามาริทัน และเมื่อเขาได้สังเกตและรวบรวมทฤษฎีต่าง ๆ ก็พบว่า โจ สมิธ คนเก็บขยะวัยดึกที่พักอยู่อะพาร์ตเมนต์ฝั่งตรงข้าม เข้าข่ายที่ทำให้แซมสงสัยว่าเขาคนนี้จะเป็นฮีโร่ที่สาบสูญไปหลังจากเหตุความสูญเสียเมื่อ 20 กว่าปีก่อน และบัดนี้เมืองที่เริ่มเน่าเฟะด้วยอาชญากรรมเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ มันยิ่งผลักดันทำให้แซมมีแพสชั่นที่อยากจะปลุกพลังให้ ซามาริทัน กลับมาผงาดและจัดแจงเมืองนี้ให้สะอาดน่าอยู่ยิ่งขึ้น
นี่คือผลงานหนังชิ้นล่าสุดของผู้กำกับหนุ่มไฟแรง “จูเลียส เอเวอรี่” ที่เพิ่งแจ้งเกิดไปได้งดงามกับหนังปัง ๆ อย่าง Overlord เมื่อไปอีกปีก่อน คราวนี้เขาได้มาหยิบจับทำหนังฮีโร่ดูบ้าง แม้ว่าจะไม่ใช่หนังในจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ที่เปรี้ยงปังอยู่ตอนนี้ แต่ก็นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ท้าทายของเขา และผลงานเรื่องนี้เขาก็ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าพอใจในระดับหนึ่ง ถือว่าถ่ายทอดวิสัยทัศน์และใส่ลายเส้นความเป็นหนังแอคชั่นที่มีโทนเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดเข้าไปเป็นเอกลักษณ์ได้อยู่ ถึงแม้ว่าหลาย ๆ องค์ประกอบในนี้จะยังขาดหายไปพอสมควรก็ตาม
หนังเรื่องนี้ได้ “บรากี เอฟ. ชุต” มือเขียนบทมือฉมัง ที่ก็เพิ่งแจ้งเกิดมาจากหนังชุด Escape Room ทั้ง 2 ภาคที่ผ่านมา ก็ถือว่างานบทหนังของเขาออกมาได้ระดับที่ใช้ได้ ถึงบทและรายละเอียดต่าง ๆ จะค่อนข้างตื้นเขินไปสักหน่อย แต่การดีไซน์และจับโยงประเด็ดนั้นปมนู้นเข้ามาใส่เอาไว้ด้วยกัน เกือบจะทำออกมาได้ดี เพียงแค่ยังคงขาดเสน่ห์ที่ยังไม่ค่อยสามารถทำให้ตัวละครต่าง ๆ โดดเด่นขึ้นมาได้อย่างเด่นชัดนัก กลายเป็นบทหนังฮีโร่แบบง่าย ๆ เรื่อย ๆ เกือบจะไม่มีอะไรเป็นจุดเด่นเลยเสียแล้ว
คือเอาจริง ๆ ถ้าให้พูดตามตรงและต้องขออนุญาตหยิบมาเปรียบเทียบกับจักรวาลหนังซูเปอร์ฮีโร่ในปัจจุบันนี้ Samaritan ก็ถือหนังฮีโร่ที่นำเอาองค์ประกอบเด่น ๆ ของหนังจากทางฝั่งมาร์เวลและดีซีมายำรวมผสมกันเป็นหม้อเดียว ที่รสชาติอาจจะฝาด ๆ ไม่ค่อยแซบถึงทรวงสักเท่าไหร่ แต่ก็เห็นถึงกิมมิกและความพยายามเป็นอย่างดี หนังใส่โทนความดาร์กและดราม่าสไตล์หนังฝั่งดีซีเข้าไป มีการใช้ปมอาชญากรรมหม่น ๆ กับบรรยากาศอึมครึมเข้าไปใช้
ในขณะเดียวกันนั้น ก็หยิบเอาความโดดเด่นของฮีโร่บางตัวจากฝั่งมาร์เวลเข้าไปเป็นองค์ประกอบเสริมต่าง ๆ ให้กับตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ของหนัง ทั้งพื้นเพและพลังเหนือมนุษย์ต่าง ๆ รวมทั้งลีลาการต่อสู้และอาวุธข้างกาย ก็แอบจะได้แรงบันดาลใจและใช้จินตนาการในการประกอบรวมร่างกันเข้าไป กลั่นกรองออกมาเป็นฮีโร่ที่ชื่อ ซามาริทัน ที่ถึงจะเสียดายที่หนังเรื่องนี้่นั้น เรากลับยังไม่ทันได้มีโอกาสได้ทำความรู้จักและมักคุ้นกับการเป็นตัวเขาผู้นี้สักเท่าไหร่ เพราะอะไร ๆ ก็ดูล้นและเบาเบางไปหมด
แน่นอนว่าอีกหนึ่งจุดด้อยของ Samaritan ก็คงจะเป็นจังหวะการเล่าเรื่องที่ยังค่อนข้างขาดเสน่ห์ไป หนังมีโทนความเป็นอาชญากรรมที่ผนวกใส่ความเป็นเด็กเข้าไปผสม มันจึงกลายเป็นหนังที่คอนทราสกันเบา ๆ ระหว่างองค์ประกอบกันเอง ในขณะเดียวกันนั้น โทนการเล่าเรื่องก็แทบจะราบเรียบ ไม่มีกราฟขึ้น ๆ ลง ๆ ให้รู้สึกเร้าใจได้เท่าไหร่ ดำเนินเรื่องผ่านไปเกือบจะเป็นชั่วโมง ก็ยังคงให้ความรู้สึกว่าหนังยังคงเล่าเรื่องปูทางเกริ่นยังไม่จบ ทั้งที่ดำเนินเวลาผ่านไปกว่าครึ่งแล้ว และเมื่อถึงไคลแมกซ์ของเรื่อง อะไร ๆ มันก็ช่างเป็นสูตรสำเร็จที่รวบรัดตัดตอนเหลือเกิน ยังไม่ทำให้รู้สึกซึมซับอะไรสักเท่าไหร่
ส่วนทางด้านการแสดงนั้น อันนี้ไม่ได้น่าห่วงอะไรเท่าไหร่นัก ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ก็คือ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน แต่เรื่องนี้เขาก็พยายามที่จะสลัดภาพคนแกร่งแบบเดิม ๆ ออกไป และถือว่าเขาก็ทำได้ค่อนข้างประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ถึงจะมีกลิ่นความเป็นร็อกกี้และแรมโบ้ติดมาอยู่นิดหน่อย แต่อย่างน้อย ๆ การดีไซน์การแสดงของเขาที่ใช้ดราม่าเข้ามาเสริมนั้น ก็แอบทำให้คนดูจดจำเขาในบทบาทใหม่ที่คือ ซามาริทัน นั่นเอง
คาแรกเตอร์อื่น ๆ ที่ดูเหมือนจะน่าสนใจ แต่ก็ไม่ได้ค่อยได้รับความใส่ใจในการใส่เข้ามาในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงเหนุ่ม “จาวอน วอลตัน” ที่การแสดงของเขาก็ถือว่าใช้ได้ แต่ยังไม่ถึงกับสมบูรณ์แบบ ขณะที่ “พิลู แอสเบ็ค”, “ดาสช่า โปลันโก”, “โซเฟีย เททั่ม” หรือ “มอยเซส อาเรียส” ถูกใส่เข้ามาเหมือนตัวประกอบเท่านั้น
เอาเป็นว่าในภาพรวมแล้วนั้น Samaritan ถือว่าเป็นความพยายามที่จะสร้างมุมมองใหม่ ๆ ให้กับหนังฮีโร่ ถึงผลลัพธ์ที่ออกมานั้นอาจจะยังไม่ค่อยเวิร์กมากสักเท่าไหร่ เพราะยังพึ่งพาสูตรสำเร็จกับไอเดียที่ยังไม่ค่อยทำให้ผู้ชมรู้สึกว้าวอะไร ยังติดกลิ่นอายความเป็นหนังฮีโร่ช่วงยุคพัฒนาแรง ๆ ในยุคต้นปี 2000s อะไรทำนองนั้นมาอยู่ มีกลิ่นอายหยิบยืมโทนหนังฮีโร่จักรวาลดัง ๆ มาผสมเข้ากับหนังอาชญากรรมทริลเลอร์เรื่องคลาสสิก ๆ เป็นคอนเซ็ปต์ที่ดี แต่จังหวะการเล่าเรื่องยังค่อนข้างขาดเสน่ห์ไปอยู่สักหน่อย
พอได้มาดูหนังเรื่องนี้เต็ม ๆ ก็พอจะได้คำตอบแล้วว่า เพราะเหตุใด เอ็มจีเอ็ม และ อะแมซอน ถึงตัดสินใจย้ายหนังเรื่องนี้มาฉายในรูปแบบสตรีมมิ่งออนไลน์แทนเข้าโรงฉาย เพราะนี่น่าจะเป็นการตอบโจทย์ได้ค่อนข้างดีกว่านั้นเอง สเกลของหนังเรื่องนี้อาจจะค่อนข้างเชยไปที่จะเป็นหนังฉายโรง ท่ามกลางการแข่งขันของหนังฮีโร่ที่ยิ่งยกระดับมาตรฐานสูงขึ้นเรื่อย ๆ นี่อาจจะยังไม่ใช่เป็นหนังฮีโร่เรื่องที่ดี แต่ก็มันไม่ใช่หนังที่แย่อะไรหรอกนะ