รีวิวหนัง The Beekeeper นรกเรียกพ่อ: หนังแอคชั่น ดิบ เถื่อน สนุก ห้ามพลาด!
รีวิวหนังฝรั่ง ในวันนี้ขอนำเสนอหนังเรื่อง The Beekeeper 2024 นรกเรียกพ่อ เป็นหนังแนว แอ็คชั่น ระทึกขวัญ ที่มี เดวิด เอเยอร์ เป็นผู้กำกับ และมี เจสัน สเตแธม, จอช ฮัทเชอร์สัน, เอ็มมี เรเวอร์-แลมป์แมน เป็นนักแสดงนำ ภาพยนตร์นี้เล่าถึงเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นเมื่อแก๊งของคอลเซ็นเตอร์ผู้เก่งกาจได้หลอกขโมยเงินของป้าคนใกล้ชิดของ อดัม เคลย์ จนทำให้เขาต้องสละชีวิต อดัม เคลย์ เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลับ “บีคีปเปอร์” อดัมจึงต้องกลับมาทำหน้าที่ล้างแก๊งนี้และองค์กรที่อยู่เบื้องหลังเพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้น ร่วมติดตามการล้างแค้นครั้งใหม่ของเจสัน สเตแธมได้ที่ ดูหนังใหม่
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
ชื่อเรื่องสากล: The Beekeeper
ประเภท: แอ็คชั่น / ต่อสู้ / ระทึกขวัญ
นำแสดงโดย: เจสัน สเตแธม, เจเรมี ไอรอนส์, เอ็มมี เรเวอร์-แลมป์แมน
ผู้กำกับ: เดวิด เอเยอร์
ความยาวหนัง: 105 นาที
กำหนดฉายในไทย: 11 มกราคม 2024 (ทุกโรงภาพยนตร์)
ตัวอย่าง: The Beekeeper นรกเรียกพ่อ
The Beekeeper นรกเรียกพ่อ: ชายเลี้ยงผึ้งผู้ลุกขึ้นสู้ ล้างแค้นแก๊งคอลเซ็นเตอร์
“The Beekeeper” เป็นภาพยนตร์ล่าสุดจากผู้กำกับชื่อดัง เดวิด เอเยอร์ ที่เคยกำกับภาพยนตร์เรื่อง Fury และ Suicide Squad นักแสดงนำคือ เจสัน สเตแธม ที่เคยแสดงใน Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw ในบทของ อดัม เคลย์ ผู้เคยเป็นเจ้าหน้าที่ขององค์กรลับ “เดอะบีคีพเพอร์ส” นอกจากนี้ยังมีนักแสดงอื่นๆ ร่วมแสดง เช่น เจเรมี ไอรอนส์ จาก Batman v Superman: Dawn of Justice และ จอช ฮัทเชอร์สัน จาก The Hunger Games
เรื่องย่อ
บีคีปเปอร์ เป็นนิยายแนวแอ็คชันที่เล่าเรื่องราวของ อดัม เคลย์ ชายผู้เกษียณแล้วที่มีชีวิตสงบเรียบร้อยกับการเลี้ยงผึ้ง แต่วันหนึ่งความสุขของเขาก็พังทลาย เมื่อป้าเพื่อนบ้านที่เป็นคนเดียวที่เขาไว้วางใจได้ฆ่าตัวตาย เพราะถูกแก๊งคอลเซนเตอร์ต้มตุ๋นทำร้าย อดัมจึงต้องกลับไปเป็นบุคคลที่เขาเคยเป็นในอดีต คือ บีคีปเปอร์ นักสืบสาวอันตรายที่มีภารกิจล่าแก๊งชั่วนี้เพื่อแก้แค้น และเขาไม่ได้ทำงานคนเดียว เขามีคู่หูคือสาวสายลับที่เป็นสมาชิกขององค์กรลับ การผจญภัยของเขาเต็มไปด้วยกระสุน ปะทะกัน และความตื่นเต้น จนกว่าเขาจะสามารถหาคนที่อยู่เบื้องหลังแก๊งนี้และประหารชีวิตเขาได้
การกลับมาของเดวิด เอเยอร์
The Beekeeper ผลงานล่าสุดของผู้กำกับหนังบู๊เจ้าประจำอย่าง “เดวิด เอเยอร์” เป็นการกลับมาสู่แนวทางหนังแอคชันทริลเลอร์ที่เขาคุ้นเคย หลังจากห่างหายไปนานหลายปี ผลงานก่อนหน้าของเขาอย่าง The Tax Collector อาจจะไม่ถูกใจนักวิจารณ์เท่าไหร่ แต่ The Beekeeper กลับสร้างความประทับใจและแสดงให้เห็นว่าเอเยอร์หาทางกลับมาสู่เส้นทางเดิมได้อย่างสง่างาม
อย่างไรก็ตาม The Beekeeper ไม่ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ หนังเรื่องนี้ยังคงใช้สูตรสำเร็จแบบเดิม ๆ ของหนังบู๊ ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ โทนหนังยังคงขึงขัง เน้นพูดน้อยต่อยหนัก ตามสไตล์หนังของ “เจสัน สเตแธม” ทั่วไป บทหนังก็ตื้นเขิน เดาทางได้ง่าย และออกจะไปทางหนังเกรดบีเสียมากกว่า
จุดเด่นของหนัง
- ความสนุกแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก: หนังเน้นฉากแอคชันแบบจัดเต็ม เต็มไปด้วยความมันส์และความสะใจ ฉากต่อสู้มีความดุเดือด รวดเร็ว และโหดเหี้ยม ตัวอย่างฉากที่น่าประทับใจคือ ฉากต่อสู้ในโกดังที่พระเอกใช้ปืนกลกวาดล้างเหล่าร้ายแบบไม่เหลือซาก
- เจสัน สเตแธม: พระเอกเจ้าประจำที่กลับมาในมาดนักฆ่าสุดโหด แสดงได้ดีและเอาอยู่แบบสบายๆ สเตแธมแสดงได้อย่างดุดัน น่าเกรงขาม และเต็มไปด้วยความมั่นใจ ฉากที่เขาใช้มีดต่อสู้กับเหล่าร้ายเป็นฉากที่น่าจดจำ
- ตัวละครที่น่าติดตาม: หนังมีตัวละครที่น่าสนใจ ไม่ได้มีแค่ฉากแอคชันอย่างเดียว ตัวอย่างตัวละครที่น่าสนใจคือ ตัวละครของ เจเรมี ไอรอนส์ ที่รับบทเป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เขาแสดงได้อย่างมีชั้นเชิง น่าเกรงขาม และมีเสน่ห์
จุดด้อยของหนัง
- บทหนังที่เรียบง่าย: โครงสร้างบทไม่ตื้นลึกหนาบาง เน้นความบันเทิงมากกว่าความลุ่มลึก หนังดำเนินเรื่องแบบตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรซับซ้อน
- ความซ้ำซากจำเจ: สูตรสำเร็จหนังแอคชันแบบเดิมๆ อาจจะไม่แปลกใหม่ หนังเต็มไปด้วยฉากแอคชันแบบเดิมๆ ที่เราเคยเห็นมาแล้วในหนังแอคชันเรื่องอื่นๆ
- ตัวละครบางตัว: บทของตัวละครบางตัวไม่น่าสนใจเท่าไหร่ ตัวอย่างตัวละครที่บทไม่น่าสนใจคือ ตัวละครของ เอ็มมี เรเวอร์-แลมป์แมน ที่รับบทเป็นลูกสาวของเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บทของเธอน้อยและไม่มีอะไรน่าจดจำ
“The Beekeeper นรกเรียกพ่อ” หนังแอ็คชั่นสุดมันส์ สะท้อนความจริงในสังคมยุคปัจจุบัน
เมื่อพูดถึงหนังแอ็คชั่นที่มีความมันส์และน่าตื่นเต้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา 10 ปี ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของ เจสัน สเตแธม นักแสดงหนุ่มที่มีผลงานหนังแอ็คชั่นมากมายที่ทำให้คนดูต้องอึดใจกับฉากต่อสู้และการแสดงของเขา หนังเรื่องล่าสุดของเขาคือ The Beekeeper ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นหนังแอ็คชั่นธรรมดาของเขาอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าคุณลองสังเกตและวิเคราะห์รายละเอียดในหนัง คุณจะพบว่าเรื่องราวในหนังมีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในโลกปัจจุบัน และเมื่อมีเจสัน มาเล่นบทบาทเป็นฮีโร่ที่ต้องต่อกรกับอาชญากรรมและความอยุติธรรม ก็ทำให้หนังนี้มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
หนังนี้อาจเป็นหนึ่งในหนังแอ็คชั่นประจำของ สเตแธม ที่เคยแสดงมาแล้ว แต่มีองค์ประกอบบางอย่างที่ทำให้หนังนี้เด่นเป็นพิเศษ อย่างเช่น บทประพันธ์ที่สะท้อนความเป็นปัจจุบันของแก๊งคอลเซนเตอร์ที่ชอบหลอกลวงเงินจากกลุ่มคนที่ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีหรือผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเหตุให้เพื่อนบ้านของเขาตายอย่างน่าเศร้า และเขาเองก็เป็นอดีตนักฆ่ามืออาชีพที่ต้องกลับมาเป็นฮีโร่อีกครั้ง เรื่องราวนี้ไม่เพียงแต่ทันสมัย แต่ยังเข้ากับความแอ็คชั่นที่เข้ากับยุคสมัยได้อย่างลงตัว
ด้วยเหตุนี้ The Beekeeper เป็นหนังแอ็คชั่นที่ยังคงความเป็นตัวเองของ สเตแธม ที่มีจังหวะที่คุ้นเคยและเหมือนเดิม แต่การเล่าเรื่องของหนังก็มีความน่าตื่นเต้นและมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาในสังคมปัจจุบัน ซึ่งทำให้คนดูสามารถติดตามและเข้าใจเรื่องได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องคาดหวังเนื้อหาอะไรมากมาย ขอแค่นั่งดูและสนุกไปกับฉากแอ็คชั่นที่เจสัน มอบให้ก็น่าจะพอใจแล้ว
ล้างแค้นเดือด ท้าดวลนรก กับ เจสัน สเตแธม ในภารกิจสุดระห่ำ
หากคุณชื่นชอบการแสดงของเจสัน สเตแธม คุณคงไม่ควรพลาดหนังบู๊เรื่องนี้ เพราะเขาเหมาะกับบทนำเรื่องนี้มาก ฉากแอ็คชั่นในหนังนี้มีความมันส์และน่าตื่นเต้น แม้ว่าเนื้อหาจะไม่ใหม่เอี่ยม แต่ก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ดี คุณจะได้เห็นเจสัน สเตแธม ต่อสู้กับองค์กรนักฆ่าที่เขาเคยเป็นส่วนหนึ่ง และต้องเลือกระหว่างความยุติธรรมหรือกฎหมาย
หนังนี้มีการเล่าเรื่องที่ไม่ซับซ้อน ผู้ชมสามารถติดตามเนื้อหาได้ง่าย บางช่วงอาจจะคล้ายกับหนังอื่น ๆ ที่มีฉากแอ็คชั่นเกี่ยวกับองค์กรนักฆ่า (เช่นเรื่องที่เกี่ยวกับการฆ่าหมา) แต่หนังนี้ก็มีจุดเด่นในการผสมผสานความรุนแรง ความเกรียน และความสนุกในอัตราส่วนที่เหมาะสม คุณจะได้ชมฉากบู๊ที่ไม่มีที่หยุด และถามตัวเองว่าคุณจะทำอย่างไรถ้าอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น
เจสัน สเตแธม แสดงนำเรื่องนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ต้องวิจารณ์อะไรเลย เขาสามารถทำให้ภาพยนตร์นี้มีชีวิตชีวาได้ นอกจากนี้ จอช ฮัทเชอร์สัน (Josh Hutcherson) ก็มีการแสดงที่น่าประทับใจ อย่างไรก็ดี หนังนี้ก็มีจุดอ่อนบางอย่าง เช่น เนื้อเรื่องที่เป็นเส้นตรง ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ ถ้าคุณต้องการดูหนังแอ็คชั่นที่มีความเป็นเอกลักษณ์ คุณอาจจะผิดหวังกับหนังเรื่องนี้
บทความที่เกี่ยวข้อง
- รีวิว พระนคร ๒๔๑๐ – ย้อนรอยอดีต สัมผัสเสน่ห์กรุงรัตนโกสินทร์ผ่านละครพีเรียดฟอร์มยักษ์
- รีวิว ดวงใจจอมกระบี่: นิยายรักโรแมนติกผจญภัย ลุ้นระทึกไปกับจอมยุทธ์และหญิงสาว ⚔️
- รีวิวละครไทย ไลลาธิดายักษ์ 2 (2023): การกลับมาอีกครั้งของของฮีโร่จิ๋ว!