รีวิวหนัง Guillermo del Toro’s Pinocchio – หุ่นน้อยผจญภัยเวอร์ชันที่ดีที่สุด
รีวิวหนังฝรั่ง หนังที่ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กก็ดูได้ไม่มีเบื่อ กับเรื่อง Guillermo del Toro’s Pinocchio 2022 : พิน็อกคิโอ หนุ่มน้อยผจญภัย โดยทีเยร์โม เดล โตโร ซึ่งจะเป็นการนำเรื่องราวนิทานสุดคลาสสิคอย่าง Pinocchio 2023 มาตีความใหม่อีกครั้งโดยผู้กำกับสายแปลกมากฝีมืออย่าง กีเยร์โม เดล โตโร หนังได้นำพาทุกคนไปผจญภัยในโลกที่แสนซุกซนและท้าทายของพิน็อคคิโอ ที่ต้องการแสวงหาโลกใบใหม่กับสถานที่ที่เขายังไม่เคยได้รู้จักมาก่อน เชื่อว่าทุกคนก็น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องราวเทพนิยายบทนี้ดีอยู่แล้ว ร้อยเรียงจากนิทานสุดคลาสสิกของ การ์โล กอลโลดี กับ หุ่นกระบอกไม้ที่มีชีวิตขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ หากคุณสนใจภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ สามารถไปติดตามหนังเรื่องอื่นได้ที่นี่ ดูหนังออนไลน์
รีวิวหนัง Guillermo del Toro’s Pinocchio ภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์น่าสนใจ
บทหนังของ Guillermo del Toro’s Pinocchio อาจจะไม่ได้มีอะไรที่ใหม่นัก แต่ต้องยอมรับว่าครึ่งชั่วโมงแรกของหนัง กี เย ร์ โมเดล โต โร ตู้ รับ สุดหลอน เต็มไปด้วยการโหมโรงที่น่าสนใจ แม้ว่ามันจะเป็นฉากเกริ่นที่เป็นขยายความออกมาแบบเยิ่นเย้อไปบ้าง แต่มันกลายเป็นองค์ประกอบเสริมเพิ่มเติมเข้ามาที่ช่วยเหลือยกระดับให้หนังดูดียิ่งขึ้นอีกขั้น และทำให้หนังน่าสนใจขึ้นมาเป็นกอง อีกทั้งฉีกแนวการผจญภัยแบบเดิม ใส่ประเด็นการเมืองสงครามเข้าไปเสริมเข้ากับการค้นหาตัวตน ที่ออกมาในทิศทางที่น่าสนใจได้ดี
และแน่นอนว่าไฮไลต์ของหนังเรื่องนี้ก็ถือองค์ประกอบงานสร้าง ที่ต้องยกนิ้วให้ทั้งหมด 10 นิ้วไปเลย กีเยร์โม เดล โตโร ก็ยังคงไม่ทิ้งลีลาจัดจ้านในความเป็นมืออาชีพในการสร้างงานสตอปโมชั่นที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและเสน่ห์ในรูปแบบตัวเอง และเรามักจะเพลิดเพลินเสมอ ๆ ที่มักจะได้เห็นเบื้องหลังงานสร้างในฉบับของเขา และยิ่งทำให้รู้สึกทึ่งตลอด กับการเห็นว่าแต่ละฉากที่ออกมานั้นต้องผ่านกระบวนการซ้ำ ๆ กี่ครั้ง
งานสตอปโมชั่นในหนัง Guillermo del Toro’s Pinocchio ยังเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ และลายเล้นในแบบของผู้กำกับท่านนี้โดยแท้ งานสร้างแต่ละช็อตค่อนข้างละเอียด เมื่อมาผนวกเข้ากับการจัดลำดับภาพและใช้แสงสีมาเสริมเข้าด้วยกัน ยิ่งช่วยยกระดับให้กับหนังได้เป็นอย่างดี กลายออกมาเป็นงานภาพสวย ๆ ที่น่าประทับใจ และเป็นหนังที่ดูได้เพลินดีไปตลอดทั้งเรื่อง
ไล่เรียงตั้งแต่การหยิบนำเหตุการณ์สงครามโลกมาเป็นฉากหลัง ซึ่งขับเน้นให้มู้ดแอนด์โทนของเรื่องมีความจริงจังมากขึ้น และเสริมให้ปมปัญหาของตัวละครมีความหนักแน่นและมีมิติมากยิ่งขึ้น เช่น การฉายภาพความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง Geppetto และ Carlo ลูกชายของเขาให้เราได้รู้จักก่อนที่ Carlo จะโดนลูกหลงจากการทิ้งระเบิดจนเสียชีวิต ก็เสริมให้ปมปัญหาของ Geppetto ที่ต้องเผชิญกับความโศกเศร้ามีความน่าสนใจ และทำให้เราเข้าใจในการตัดสินใจต่างๆ ของเขามากขึ้น
เรื่องย่อ
ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวของ Geppetto (David Bradley) ชายชราผู้สูญเสียลูกชายอันเป็นที่รักไปในช่วงสงคราม จึงทำให้เขาจมอยู่กับความโศกเศร้าอยู่นานหลายปี ก่อนที่เขาจะตัดสินใจตัดต้นสนต้นหนึ่งมาทำเป็นหุ่นเชิดเพื่อหวังว่าจะเป็นตัวแทนของลูกชาย และในค่ำคืนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีนางฟ้าปรากฏตัวขึ้นและร่ายเวทมนตร์ให้หุ่นเชิดมีชีวิตขึ้นมา พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า Pinocchio (Gregory Mann) เพื่อหวังว่า Pinocchio จะช่วยให้ Geppetto กลับมามีความสุขอีกครั้ง เรื่องราวการผจญภัยของ Pinocchio จึงเริ่มต้นขึ้น
คาแรกเตอร์ตัวละครที่ไร้ที่ติ
Guillermo del Toro’s Pinocchio รีวิว ด้วยเรื่องราวของตัวละครที่ต่างก็มีบาดแผลที่ตัวเองต้องแบกรับเหล่านี้ จึงถือเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกอินไปกับเรื่องราวที่ตัวละครกำลังเผชิญ และอยากเอาใจช่วยให้พวกเขาสามารถข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้ตลอดทั้งเรื่อง
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อการผจญภัยของ Geppetto และ Pinocchio เดินทางมาถึงตอนจบ เรื่องราวของพวกเขาก็ช่วยย้ำเตือนให้เราเห็นว่า ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม เราต่างมีแง่มุมที่อ่อนแออยู่ในตัวด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วการมีใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้าง คอยมอบความรัก ความห่วงใยให้แก่กัน จึงเป็นสิ่งสำคัญของคำว่าครอบครัว
รวมไปถึงการสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ของตัวละครที่มีมิติ และปมปัญหาที่ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงกับพวกเขาได้ไม่ยาก ถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ชวนให้เราอยากติดตามการผจญภัยของพวกเขาไปได้ตลอดทั้งเรื่อง
ไล่เรียงตั้งแต่ Pinocchio ที่นอกจากจะเป็นตัวแทนของเด็กผู้ไร้เดียงสาเช่นเดียวกับต้นฉบับ ผู้กำกับยังเสริมแต่งเรื่องราวให้เขาเป็นภาพแทนของเด็กๆ ที่ถูกผู้ใหญ่คาดหวังให้พวกเขาเป็นในสิ่งที่ผู้ใหญ่อยากให้เป็น มากกว่าการทำความเข้าใจและรักในตัวตนของเด็กๆ เหล่านั้น
สิ่งที่ประทับใจใน Guillermo del Toro’s Pinocchio
สิ่งที่ชอบก็ยังมีเรื่องการให้เรื่องราวเกิดในยุคเผด็จการ มีการใส่เรื่องให้พิน็อกคิโอเป็นอมตะเพราะฝ่าฝืนกฎของวิญญาณ ทำให้เป็นคนก็ไม่ได้และตายก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้มันจึงไปโยงกับการจับพิน็อกไปเป็นทหารเพราะเขาไม่มีวันตาย แถมความอมตะของพิน็อกก็ยังเอามาเล่นต่อในตอนท้ายเพื่อสร้างอารมณ์ให้คนดูได้อีก
เห็นไหมว่าเขาเขียนบทมาให้ทุกอย่างลงล็อกแถมยังแปลกใหม่และน่าจดจำสุดๆ ฉากตอนพิน็อกไปโรงเรียนยุวชนคือทำออกมาได้ดีมากๆ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเคารพต้นฉบับด้วยองก์สุดท้ายของเรื่องที่ทำออกมาตามสูตรดั้งเดิม คือพิน็อกไปช่วยปู่ในท้องอสูร แค่ภาคนี้จบแปลกด้วยการให้เห็นบทสรุปท้ายสุดแบบปลายเปิดและแอบเศร้านิดๆ ส่วนเรื่องงานสร้างก็ทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ ทั้งเร่องเป็นเทคนิคสต็อปโมชั่น
ดังนั้นทุกอย่างที่เราเห็นในเรื่องล้วนเป็นผลงานปั้น หรือการถ่ายจากฉากจริงแบบเฟรมต่อเฟรม การจัดแสง รายละเอียดต่างๆ ทำได้ดีไร้ที่ติ สรุปโดยรวมเลยคือเรื่องนี้เป็นพิน็อกคิโอที่ตีความออกมาได้โคตรเจ๋งและแปลกใหม่ มันกลมกล่อมและน่าจดจำจริงๆ
รีวิวหนัง Guillermo del Toro’s Pinocchio เรื่องราวนิทานแฟนตาซีที่หลาย ๆ คนรู้จัก
ใครที่ไม่เคยดู pinocchio ภาษาไทย มาก่อนเลยก็คงเพลิดเพลินกับการเล่าเรื่องราวนิทานแฟนตาซีสอนเด็กที่สนุกพอตัวอยู่ หรือเด็กเองก็คงสนุกกับเรื่องนี้แน่ๆ แม้จะมีหลายฉากที่ออกแนวทำร้ายทารุณเด็กพอสมควร แต่สำหรับผู้ชมที่รู้จักหรือเคยดูเรื่องนี้มาก่อนแล้วหลายรอบ หลายเวอร์ชั่น ย่อมคาดหวังการตีความใหม่ความแตกต่าง
ซึ่งจริงๆ ตัวผู้กำกับเองก็บอกว่าตีความเล่าเรื่องให้เหมือนเป็นการกำเนิดของตัวละครนี้ใหม่ แต่ผู้เขียนเองแทบมองไม่เห็นเลยว่ามันมีการเล่าเรื่องหรือตีความใหม่อะไรขนาดนั้นจริงๆ ครับ เพราะเส้นเรื่องก็ยังเป็นแบบเดิมคือ คนสร้างพิน็อกคิโอมีลูกชายตายไป เสียใจมากเลยสร้างพิน็อกคิโอขึ้นมา นางฟ้าก็มาใส่ชีวิตให้ พิน็อกคิโอมีชีวิตมาก็เป็นเด็กดื้อ ไม่ฟังพ่อ เวลาโกหกจมูกก็ยาวขึ้น
จากนั้นก็ทะเลาะกับพ่อออกไปผจญภัย ถูกคนหลอกไปหาประโยชน์ แล้วสุดท้ายแล้วก็กลับมาเจอกับพ่อ มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ได้ ซึ่งความแตกต่างในเส้นเรื่องนั้นแทบเบาบางมาก มีแค่ตัวละครประกอบใหม่เป็นลิงคณะละครสัตว์ หรือเรื่องเกี่ยวกับสงครามที่ใส่มาสั้นๆ ยกเว้นคุณอาจจะไปฟังพวกนิทานบทย่อเบาๆ อะไรแบบนั้น
ตัวเรื่องนี้ก็จะมีรายละเอียดมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ถึงกับฉีกตีความใหม่อะไรอย่างผู้กำกับบอกไว้เลย (ซึ่งจริงๆ พิน็อกคิโอต้นฉบับดาร์คและโหดร้ายมาก ตอนจบก็ไม่ได้ก็สมหวังเป็นคนด้วย)
บทสรุป Guillermo del Toro’s Pinocchio
เอาเป็นว่าโดยสรุปแล้วนั้น Guillermo del Toro’s Pinocchio เป็นหนังพิน็อคคิโอเวอร์ชั่นใหม่ ที่เต็มไปด้วยไอเดียที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างดีแท้ การตีความใหม่อาจจะเป็นความเสี่ยง แต่ในความกล้าเสี่ยงของหนังเรื่องนี้ ถือว่านำไปสุ่ทิศทางที่น่าพอใจ งานสร้างในรูปแบบสตอปโมชั่นของหนังเรื่องนี้เป็นเสน่ห์โดยแท้ของหนังเรื่องนี้
ความพิถีพิถันในงานสร้างเต็มไปด้วยเส่นห์ ในภาพรวมแล้ว Guillermo del Toro’s Pinocchio เรียกว่าเป็นภาพยนตร์ Stop Motion จากผู้กำกับ Guillermo del Toro และ Mark Gustafson ที่หยิบนำวรรณกรรมคลาสสิกมาตีความใหม่ได้อย่างน่าสนใจ ทั้งในแง่ของงานสร้างที่เปี่ยมสีสัน เนื้อเรื่องที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
สามารถเชื่อมโยงกับผู้ชมได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมไปถึงการสร้างสรรค์เรื่องราวของตัวละครที่มีมิติ จนทำให้เราหลงรักพวกเขาได้ในทันที ตำนานของพิน็อคคิโอก็ยังคงเป็นนิทานเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาอย่างยาวนาน เป็นวัตถุดิบที่สามารถนำมาปรุงแต่งในรูปแบบใหม่ ๆ ได้อย่างไม่มีขอบเขต
และหนังเวอร์ชั่่นนี้ก็คือตัวอย่างของความกล้าบียอนด์ออกไปสู่นอกกรอบเดิม ๆ เป็นการปรุงแต่งรสชาติใหม่ที่มีรสชาติอร่อยอีกแบบ อาจจะต้องบอกว่า Guillermo del Toro’s Pinocchio เป็นอีกเวอร์ชั่นที่น่าจดจำและครบทุกอรรถรสในแบบที่หนังพึ่งจะมี
ชื่อเรื่อง: Guillermo del Toro’s Pinocchio (พิน็อกคิโอ หุ่นน้อยผจญภัย โดย กีเยร์โม เดล โตโร)
ผู้กำกับ: กีเยร์โม เดล โตโร
ประเภท: แฟนตาซี, ผจญภัย
ความยาว: 116 ตอน
ระบบเสียง: เสียงไทยและบรรยายไทย
ให้เสียงพากย์โดย: ยวน แม็คเกรเกอร์, เดวิด แบรดลีย์, เกร็กกอรี่ แมนน์
ติดตามหนังออนไลน์ใหม่ ๆ ได้ที่นี่ รีวิวหนัง Unlocked