รีวิว The Gray Man: ล่องหนฆ่า

หมายเลข 6 เป็นนักฆ่าลับในโครงการเซียร์ร่าของรัฐบาล จนวันหนึ่งเขาพบว่าคนที่เขาฆ่าคือนักฆ่าในโครงการเดียวกัน และผู้ควบคุมโครงการในปัจจุบันมีความลับซ่อนอยู่ หนังฟรี เพื่อหาความจริงเขาจึงถูกทีมนักฆ่าตามล่าโดยต้องหาวิธีช่วยชีวิตของตัวประกันที่เคยมีบุญคุณต่อเขาไปพร้อมกัน รีวิว The Gray Man: ล่องหนฆ่า

ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022 แม้ตัวหนังจะอิงจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันในปี 2009 ที่สร้างชื่อให้ มาร์ก เกรียนีย์ (Mark Greaney)  เว็บหนังฟรีไม่มีสะดุด แจ้งเกิดจนกลายเป็นนักเขียนแนวสายลับผู้ได้รับไม้ต่อให้สืบทอดตำนานของปรมาจารย์อย่าง หนังใหม่ ทอม แคลนซี (Tom Clancy) ในเวลาต่อมา แต่กว่ามันจะถูกดัดแปลงมาสู่หนังก็ผ่านมาถึงหนึ่งรอบนักษัตร แน่นอนว่าพล็อตหรือมุกอะไร ๆ ดูหนัง ก็คงไม่สดใหม่อีกต่อไปแล้ว ว่ากันตามจริงดูตัวอย่างหนังก็แทบรู้เรื่องทั้งหมดแล้วด้วยซ้ำ ดูหนังออนไลน์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องราวของสายลับนักฆ่าไร้นามที่ถูกลบประวัติเหลือเพียงตัวเลขเป็นชื่อแทนตัว มันก็มีเสน่ห์มาเสมอล่ะนะ รีวิวหนังฝรั่ง

ยิ่งเมื่อเน็ตฟลิกซ์ทุ่มทุนสร้างกว่า 200 ล้านดอลลาร์มากสุดที่เคยทำมา โดยดึงทีมผู้สร้างคิวทองจาก ‘Avengers: Endgame’ อย่างสองพี่น้อง แอนโธนี และ โจ รุสโซ (Anthony and Joe Russo) มากำกับ แม้ว่าผลงานก่อนหน้าของพวกเขาทั้งคู่อย่าง ‘Cherry’ (2021) ที่ขนาดได้ ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) พระเอกจากหนัง ‘Spider-man: No Way Home’ (2022) มารับบทนำให้บริการสตรีมมิงของ Apple TV+ จะพูดว่าประสบความสำเร็จได้ไม่เต็มปากก็ตาม

รีวิว The Gray Man: ล่องหนฆ่า

แต่ใครได้ดูก็ต้องยอมรับว่าหนังมีความเนี้ยบอยู่มาก ทว่าการตีความนิยายให้เล่าสนุกอาจไม่ค่อยได้ผลดีเท่าไรนัก กับเรื่องนี้ก็เช่นกันเหมือนสองพี่น้องรุสโซจะหาทางข้ามความเชยของตัวนิยายด้วยโปรดักชันเข้าว่าแทน

ดูหนังฟรี ซึ่งโปรดักชันที่ว่าแค่ไล่เรียงมาก็แทบเอาอยู่แบบไม่ต้องไปดูหนังจริงก็รู้ อย่างการเอาพระเอกมากเสน่ห์แห่งยุคสองคนมาปะทะกันให้สาว ๆ ดูหนังออนไลน์ คลั่งตายทั้ง ไรอัน กอสลิง (Ryan Gosling) ในบทนักฆ่าหมายเลข 6 ดูหนัง ที่ต้องหนีการตามล่าจาก คริส อีแวนส์ (Chris Evans) ที่ปรับลุกขรึมจากกัปตันอเมริกามารับบท ลอยด์ แฮนเซน นักล่าหนวดจิ๋มปากแจ๋วจนแปลกตา เอาว่าแค่นี้ก็ต้องดูแล้ว
แต่ยังไม่พอหนังยังมี อนา เดอ อาร์มาส (Ana de Armas) ที่ฮอตปรอทแตกจาก ‘No Time to Die’ (2021) มารับดอกไม้หนึ่งเดียวของหนังถึงจะไม่ได้โชว์เซ็กซี่มากเท่าหนังก่อนหน้าของเธอ แต่ใบหน้าสวย ๆ ของเธอก็ยังทำงานได้ดีสำหรับคอหนังหนุ่มที่ไม่ได้พิศวาสคู่นำชาย
รีวิว The Gray Man: ล่องหนฆ่า
และคอหนังยุค 90s ก็ยังไม่ได้เหงาเพราะผู้สร้างก็ไปดึงดารารุ่นใหญ่ที่ไม่เห็นหน้าในหนังบล็อกบัสเตอร์แบบนี้นานแล้วนับแต่ ‘Eagle Eye’ (2008) หรืออาจถึง ‘Armageddon’ (1998) เลยด้วยซ้ำอย่าง บิลลี บ็อบ ธอร์นตัน (Billy Bob Thornton) มารับบทอดีตครูฝึกของโครงการนักฆ่าให้หายคิดถึง

ไม่พอถ้าหนังดูขายตะวันตกมากไป ทีมสร้างยังไปชวน ธานัช (Dhanush) นักแสดงและนักร้องคนดังของบอลลีวูดมาชิมลางโกอินเตอร์ครั้งแรกกับบทบาทนักฆ่าชาวเอเชียที่มีฉากซูเปอร์ฮีโรแลนดิ้งหนึ่งเดียวในหนังอีกด้วยคือเอาใจคนดูฝั่งตะวันออกด้วย

และถ้าหนังจะดูเข้มเกินไปก็ยังมีหนูน้อย จูเลีย บัตเทอร์ส (Julia Butters) ที่เคยต่อปากต่อคำกับ ลีโอนาร์โด ดิแคพริโอ (Leonardo DiCaprio) ในหนัง ‘Once Upon a Time in… Hollywood’ (2019) จนเป็นมีมฉากจำหนึ่งมาแล้วมารับบทตัวประกันที่หมายเลข 6 ต้องตามช่วยด้วย
คือแค่เลือกนักแสดงก็เก็บกินทุกทางยังไงก็ต้องมีคนอยากดู ซึ่งก็น่าดูจริงตั้งแต่คู่นำชายแล้ว
รีวิว The Gray Man: ล่องหนฆ่า
หนังยังประสบความสำเร็จในการออกแบบฉากแอ็กชันที่ตื่นตาตื่นใจ เลือกสถานที่ถ่ายทำไปหลายประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป เริ่มจากไทยในตอนเปิดเรื่องที่เป็นฉากลอบฆ่าในภัตราคารหรูในวันปีใหม่ที่โชว์การต่อสู้ในคลับที่คนพลุกพล่านแสงไฟสาดไปมา มีฉากเอาตัวรอดบนเครื่องบินที่กำลังตกสุดตื่นตา ฉากการต่อสู้กลางลานน้ำพุสาธารณะกลางวันแสก ๆ ที่ตัวร้ายรวมกันมาอย่างกับเกมคอมพิวเตอร์ และจบด้วยฉากการต่อสู้บนรถรางไฟฟ้าถล่มเมือง คือวินาศสันตะโรวอดวายสะใจมาก ๆ เอาว่าแค่นี้ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ไคลแมกซ์ครึ่งหลัง หนังก็โคตรน่าดูแล้วสำหรับคอบู๊
ที่ว่ามาทั้งหมดมันเป็นสูตรสำเร็จที่หนังออกมายังไงคนก็ต้องพูดถึง แต่ในส่วนความประทับใจอาจต้องบอกว่าภาพรวมของหนังออกจะเนือยไปสักหน่อย ไม่ใช่ว่าหนังทำฉากต่อสู้ไม่เร้าใจแต่กลับกันเสียอีกหลายฉากทำได้ตื่นตาตื่นใจมากยิ่งฉากตะลุมบอนกลางเมืองในปราก นี่คือเอาใจแฟนเกมอย่าง ‘Call of Duty’ หรือ ‘The Division’ แบบดูแล้วขนลุกเลยทีเดียว แต่มันดีเป็นฉาก ๆ ไปถ้าหนังแบ่งเป็นแชปเตอร์ตามฉากแอ็กชันเราอาจมาจัดอันดับพูดคุยแยกเป็นฉาก ๆ กันสนุกได้เลย บางฉากอาจ 10/10 ด้วยซ้ำ แต่พอพูดถึงหนังทั้งเรื่องด้วยเนื้อหาที่ไม่มีอะไรเลยแต่ดันยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่า มันทำให้เรารู้สึกว่ามากเกินไปนานเกินไปไอ้ที่เคยสนุกก็เริ่มหมดมนต์ ยิ่งครึ่งหลังหนังลดดีกรีความเข้มข้นลงนิดหน่อยด้วยแล้ว พอไม่พาอารมณ์ร่วมให้พุ่งทะยานขึ้นไปอีก มันก็กลายเป็นความน่าเบื่อไปแทน

อย่างไรก็ตาม ลางเนื้อชอบลางยา หมายถึงบางคนอาจไม่ถูกรสกับวิธีเล่าแบบนี้ แต่บางคนก็อาจถูกชะตาและชอบมาก ๆ ตลอดความยาวของหนังก็ได้ แต่โดยส่วนตัวก็ต้องบอกว่านี่เป็นหนังที่มีแต่ความยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่ และยิ่งใหญ่เข้าว่าดูเพลินในเวลาว่างแต่ไม่ได้อยากทิ้งความประทับใจอะไรให้สักเท่าไรนัก รีวิว The Gray Man: ล่องหนฆ่า

ถึงจะวางแผนกันไว้ว่าต้องเป็นแฟรนไชนส์ภาคต่อหากินยาวๆ จากพื้นฐานนิยายดัง แต่ตัวหนังเองกลับมีปัญหาตั้งแต่ภาคแรกนี้ด้วยความที่ตัวนิยายอาจจะเก่ามากๆ ทำให้ตัวเนื้อเรื่องค่อนข้างเชยมาก เป็นแนวสูตรสำเร็จสายลับนักฆ่าที่ถูกฝึกมาดี ไปรู้ความลับองค์กร ก็เลยโดนตามเก็บ ทั้งเรื่องเดินไปตามสูตรปกติแทบจะไม่มีออกนอกลู่นอกทางอะไรเลย แม้แต่จุดหักมุมอะไรก็ไม่มีทั้งนั้น เรียกว่าเป็นหนังแอ็กชั่นสายลับที่ทื่อสุดๆ ตั้งแต่บทแล้วจนไม่แน่ใจว่าทำไมผู้กำกับอย่างพี่น้องรุสโซ่ถึงไม่ปรับแต่งหรือทำอะไรกับบทเชยๆ นี้บ้างเลย ในเมื่อยุคนี้มีหนังสายลับมากมายที่ดีกว่าและดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างเจมส์บอนด์ มิชชั่นอิมพอสซิเบิล หรือแม้แต่พวกมาใหม่อย่างคิงแมนก็ยังทำได้ดีกว่ามากกับบทตรงนี้ จนทำให้นี่เป็นปัญหาตลอดเวลาที่ดูเลยคือ นอกจากเราจะเดาเรื่องออกต่อไปเป็นช็อตๆ แบบง่ายดายแล้ว ตัวเรื่องยังมีปัญหาความไม่สมจริงตามมาอีกมากมาย
ความไม่สมจริงที่ว่าก็ตั้งแต่การวางพื้นฐานปูเรื่องของพวกเกรย์แมนแล้ว ที่วางว่าพวกนี้คือนักโทษต้องคดีแรงแล้วถูกจับมาฝึกโดย CIA ให้เป็นนักฆ่ารับงานจากรัฐ โดยยื่นเงื่อนไขปล่อยตัวออกมาก่อนเวลา แต่กลับต้องกลายเป็นทาสตลอดชีวิต ตายฟรีได้ทุกเมื่อเพราะจะถูกลบประวัติหมดไม่มีตัวตนให้สมกับชื่อเรื่องมนุษย์เงา ซึ่งเรื่องเปิดมาตอนแรกปูนิดเดียวแทบไม่รู้เรื่องอะไรมากขึ้นเลย แล้วก็กระโดดมา 18 ปีผ่านไป อยู่ๆ พระเอกก็คิดทรยศงานที่ทำมาตลอดดื้อๆ โดยเหตุผลและแรงจูงใจก็ไม่สมเหตุผลเลยสักนิดเมื่อแลกกับการโดนตามล่าจากทั้งองค์กรขนาดนั้น แล้วตัวเรื่องก็แทบจะไม่ปูพื้นความสัมพันตัวพระเอกกับคนอื่นที่ร่วมงานแล้วพยายามขอความช่วยเหลือเลย แบ็คกราวด์ตัวละครแทบจะว่างเปล่ากลวงๆ ทำให้เรื่องดำเนินไปแบบพระเอกขยันหาแต่เรื่องเดือดร้อนให้เพื่อนเก่าอดีต CIA ทั้งนั้น เรียกว่าเป็นตัวซวยล้วนๆ แล้วแต่ละคนก็ไม่ได้มีความรู้สึกหรือฉากโชว์ว่าเก่งอะไรเลย เหมือนทั้งเรื่องทำมาเพื่อโชว์พระเอกล้วนๆ โดยมีนางเอกกับตัวร้ายมาเสริมแค่นั้น
โอเคการได้คริส อีแวนส์มาเป็นตัวร้ายอาจจะทำให้น่าสนใจ แต่กลายเป็นว่าคาแรกเตอร์ที่คริสได้เล่นกลับเป็นเหมือนนักฆ่าตัวตลก ดูเหมือนโหด มีความโหด แต่ก็ทำอะไรแบบตลกๆ แบบอีหยังว่ะอยู่บ่อยครั้ง เป็นฉากที่พี่น้องรุสโซ่ตั้งใจให้เป็นมุกตลกในเรื่องเลย แต่มันกลายเป็นการทำให้ตัวละครนี้เหมือนทีเล่นทีจริงไปหมด แถมทรงผมกับการไว้หนวดจิ๋มพิลึกๆ ยิ่งทำให้ตัวละครนี้ดูเด่อด๋าไม่เข้าที่เข้าทาง ซ้ำร้ายยังมีฉากที่ทำให้เห็นว่าบทตัวละครนี้โง่แค่ไหน อย่างการใช้มีดจ้วงแทงพระเอกจากการต่อสู้ตัวๆ ได้ แต่ก็จิ้มทีแล้วก็ออกมายิ้มๆ เหมือนอ่อยให้ ทั้งๆ ที่ฉากนั้นคือไคลแม็กซ์ตัดสินชีวิตกันแล้วด้วยซ้ำ

ตัวละครที่ดูดีกลับเป็นนางเอกที่เล่นโดย อนา เดอ อาร์มาส คือเธอสวย มีเสน่ห์ รับบทเป็นสายลับที่คอยคุมพระเอกแต่กลับติดร่างแหโดนเหมาไปด้วย บททำให้เธอเป็นพาร์ทเนอร์คู่หูของพระเอกที่ดี มีแอบรับส่งมุกกันบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้มีเรื่องรักอะไรมาเกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ตัวเรื่องพยายามวางตัวละครในเรื่องไว้เพื่อเป็นภาคต่ออย่างชัดเจน คือทั้งเรื่องเราได้เห็นว่า CIA ระดับหัวๆ เลวแค่ไหน แต่ตอนจบของเรื่องกลับทิ้งค้างไว้ทั้งหมด เหมือนเป็นหนังที่ตั้งใจปล่อยตัวละครร้ายๆ ให้รอดไว้เยอะเพื่อเปิดทางไปภาคต่อ ซึ่งถ้าเดินตามนิยายก็เข้าใจแต่ได้ แต่มันทำให้เรื่องนี้กลายเป็นหนังที่ทำไว้ค้างๆ คาๆ จนน่าเกลียดอยู่เหมือนกัน (คือถ้าจะทำภาคต่อก็ควรมีชั้นเชิงทิ้งไว้มากกว่านี้)
 สิ่งที่พอทำให้เรื่องดูสนุกตื่นเต้นได้ก็คงมีแค่ฉากแอ็กชั่นที่พยายามเล่นใหญ่โตในกรุงปราก สาธารณรัฐเช็ค ตอนกลางเรื่องที่ใหญ่โตกว่าฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องที่ไม่ค่อยมีอะไรให้น่าพูดถึงนัก โดยฉากนี้เป็นฉากที่พระเอกต้องถูกระดมยิงถล่มจากนักฆ่าที่ CIA ส่งมายิงคนในเมืองทิ้งแบบไม่สนใจใครว่าจะตาย ขอแค่เด็ดหัวพระเอกให้ได้ แล้วเรื่องก็ไล่ล่ากันบนรถรางกลางเมืองที่พาให้บ้านเมืองที่ผ่านไปชิบหายกันหมด เป็นฉากที่โม้โอเวอร์สุดๆ มากตั้งแต่ตำรวจกรุงปรากมีปืนกล ขนรถติดปืนกลมายิงถล่ม ตัวร้ายก็มีทั้งปืนกลทั้งเครื่องยิงจรวดถล่มกันเหมือนเป็นหนังสงครามย่อมๆ เลย ซึ่งแน่นอนว่าได้ความสนุกสะใจแน่ๆ แต่ถ้าคิดถึงความสมเหตุผลของฉากนี่สอบตกบรรลัยมากเช่นกันครับ
นอกจากฉากแอ็กชั่นแล้วตัวเรื่องพยายามให้มีดราม่าพระเอกเป็นคนดี ตามช่วยเหลือเด็กสาวที่เป็นหลานของหัวหน้าเก่า ตัวเรื่องพยายามบิ้วให้ทั้งคู่มีความหลังผูกพันธ์กันในช่วงสั้นๆ แล้วก็เอามันมาใช้ในตอนก่อนจบเพื่อให้พยายามบีบคั้นให้เรื่องดูเศร้า แต่เวลาที่เรื่องให้กับสองคนนี้มันน้อยมากจนไม่รู้ถึงความผูกพันอะไรเลย แถมตัวเด็กสาวในเรื่องก็ไม่ได้ถึงกับมีบทเด่นหรือเล่นดีมีเสน่ห์อะไรมาก เรียกว่าไม่ได้มีความน่าจดจำใดๆ เมื่อเทียบกับพล็อตเรื่องนักฆ่าช่วยเด็กแนวๆ เดียวกันที่มีมาก่อนแล้วมากมาย อย่างโปรเฟสชั่นแนลลีออง อีควอไลเซอร์ เป็นต้น
ก็เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งหนัง Netflix ที่ยังคงเสมอต้นเสมอปลายดีกับหนังแมสตกมาตรฐาน ที่มักเอานักแสดงดัง ผู้กำกับมีชื่อเสียงมาขาย แต่ผลงานที่ได้มาแค่พอดูได้ผ่านๆ แถมอาจจะเลวร้ายด้วยถ้าคนดูคาดหวังจากชื่อเสียงผู้กำกับกับนักแสดงนำในเรื่องแบบนี้ครับ ทั้งเรื่องมีดีแค่ฉากแอ็กชั่นเล่นใหญ่ตรงกลางเรื่องเท่านั้น นอกนั้นคืออะไรที่ไม่ค่อยเข้าท่า เป็นบทหนังสายลับสูตรสำเร็จทื่อๆ ไม่มีพลิกแพลงหรือหักมุมอะไรเลย จนดูเชยมากในยุคนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *