รีวิว Texas Chainsaw Massacre สิงหาสับ
นี่คือผลงานเรื่องที่ 9 ในแฟรนไชส์ The Texas Chain Saw Massacre หรือ ‘สิงหาสับ’ แฟรนไชส์หนังเชือดอมตะของฮอลลีวูดที่มีอายุมากที่สุดในกลุ่ม นับจากปีที่ภาคแรกออกมาก็ 48 ปีเข้าไปแล้ว รีวิว Texas Chainsaw Massacre สิงหาสับ รีวิวหนังฝรั่ง หลังจากมีความพยายามรีบูตมาแล้วครั้ง สองครั้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ มารอบนี้ ลิขสิทธิ์หลุดจาก ดูหนังฟรี Lionsgate มาอยู่ในมือของ Legendary Picture ที่มอบหมายให้ เฟเด อัลวาเรซ (Feda Alvarez) ผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จมาจาก Evil Dead และ Don’t Breathe ดูหนังออนไลน์
ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022 มาควบคุมการผลิต ซึ่งอัลวาเรซก็เลือกผู้กำกับสองพี่น้อง แอนดี้ และ ไรอัน โทฮิล (Andy Tohill, Ryan Tohill) ที่สร้างชื่อมาจาก The Dig (2018) แต่แล้วหนังก็ส่อเค้าลางไม่ดี เมื่อสองพี่น้องเดินออกจากกองถ่ายหลังหนังเปิดกล้องไปได้สัปดาห์เดียว ด้วยเหตุผลสุดฮิตของฮอลลีวูดคือ “แนวทางการสร้างสรรค์ไม่ตรงกัน” ร้อนถึงอัลวาเรซต้องคว้าตัว เดวิด บลู การ์เซีย (David Blue Garcia) อดีตตากล้องภาพยนตร์ที่เพิ่งมีผลงานกำกับมาแค่เรื่องเดียว ให้มารับหน้าที่แบบกะทันหัน
การกลับมาของ Texas Chainsaw Massacre ในครั้งนี้ ทางผู้สร้างเลือกทิศทางใหม่ ไม่ขอรีเมกหรือรีบูต แต่เลือกจะเล่าเรื่องราวในฐานะภาคต่อจาก The Texas Chain Saw Massacre ภาคต้นกำเนิดเมื่อปี 1974
โดยไม่สนภาคต่อต่าง ๆ นานาในแฟรนไชส์ และใช้ชื่อตามภาคแรก เพียงแค่ตัด The ออกไปแค่นั้น หนังกำหนดเหตุการณ์ในเรื่องตามระยะเวลาจริง ว่าเหตุการณ์ในภาคนี้เกิดขึ้นในช่วง 50 ปีต่อมาจากภาคแรก เปิดเรื่องด้วยการย้อนเล่าถึงเหตุการณ์ฆ่าหมู่วัยรุ่นเมื่อ 50 ปีที่แล้ว มีผู้รอดชีวิตมาเพียงคนเดียวคือ แซลลี ฮาร์เดสตี ก่อนที่จะเดินหน้าเข้าสูตรสำเร็จหนังเชือดที่ยึดถือกันมาตลอด 50 ปีเช่นกัน ด้วยการแนะนำเหล่าตัวละครกลุ่มใหม่ที่เป็นนักแสดงโนเนมล้วน ๆ ประกอบไปด้วย ‘ดันเต้’ เชฟชื่อดัง กับ ‘รูธ’ คนรักของเขา ‘เมโลดี้’ เพื่อนสนิทของดันเต้ และ ‘ไลล่า’ น้องสาวของเมโลดี้ ทั้งหมดเดินทางมาที่เมืองฮาร์โลว์ ในเท็กซัส เพื่อดำเนินโครงการรีโนเวตย่านการค้าเก่า และเชิญนักลงทุนทั้งหลายให้มาประมูลอาคารต่าง ๆ ในย่านนี้
ทั้ง 4 ก็บังเอิญพบกับ ‘จินนี่’ คุณยายที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งในย่านศูนย์การค้ารกร้างแห่งนี้ เธอเล่าว่าบ้านที่เธออยู่นี่เคยเป็นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และมีชายร่างยักษ์คอยดูแลเธอ ย้ายบอกว่าเขาคนนี้เป็นอดีตเด็กกำพร้าในความดูแลของเธอที่ตกค้างอยู่เพียงคนเดียว
ดันเต้เรียกตำรวจมาลากตัวคุณยายออกไป โดยมีชายลึกลับผู้นี้ตามขึ้นรถตำรวจไปกับคุณยายด้วย แล้วยังมีรูธคนรักของดันเต้ก็ขึ้นรถไปด้วย ซึ่งก็สร้างความฉงนให้กับคนดู ว่าเธอจะไปด้วยทำไม ระหว่างทางคุณยายหัวใจวายตาย ทำเอาชายลึกลับโกรธ หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ที่เดากันได้ ชายลึกลับก็ประกาศตนเป็น ‘ไอ้หน้าหนัง’ หรือ Leatherface เขากลับมาที่บ้านเดิมและเริ่มภารกิจสังหารคนแปลกหน้าทุกคนที่เข้ามาในละแวกนั้นด้วยเลื่อยโซ่คู่ใจ
แม้ว่า เฟเด อัลวาเรซ จะเคยสร้างเครดิตดีมาโดยตลอดในฐานะมือเขียนบทในผลงานทุกเรื่องที่เขากำกับ แต่กับเรื่องนี้อัลวาเรซก็ไมได้พาเนื้อหาของหนังให้ออกจากสูตรสำเร็จหนังเชือดได้แต่อย่างใด ซ้ำยังเต็มไปด้วยตัวละครที่ชวนหงุดหงิด ไร้ความคิด ตัดสินใจโง่ ๆ แบบที่มนุษย์สติดี ๆ เขาไม่กระทำกัน การได้เห็นชะตากรรมของตัวละครบางตัวจึงชวนให้สมน้ำหน้ามากกว่าจะคอยเอาใจช่วยให้รอด จึงต้องเน้นย้ำกันตรงนี้ว่า ถ้าใครตัดสินใจดูเพราะชอบดูหนังเชือดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ให้เปิดโหมดสภาพจิตในการรับชมหนังเชือดสไตล์ฮอลลีวูด คือเน้นดูฉากระทึกอย่างเดียวพอ อย่าพยายามหาเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น แค่เริ่มมาได้ 5 นาที ก็เดาได้แล้วว่าตัวละครตัวไหนจะตายจะรอดบ้าง จากนั้นเราก็ตามดูว่าเหยื่อแต่ละรายจะโดนไอ้หน้าหนังฆ่าด้วยวิธีใด อย่าได้คิดแทนบรรดาตัวละคร อย่าคำนึงถึงตรรกะเหตุผลตามความเป็นจริงในทุก ๆ ด้าน ไม่งั้นจะหงุดหงิดอย่างมาก เอาง่าย ๆ แค่อายุของไอ้หน้าหนังก็ประหลาดแล้ว ในภาคแรกนั้นไอ้หน้าหนังอายุ 26 ปี แล้วหนังระบุว่าไอ้หน้าหนังในภาคนี้คือตัวเดียวกันกับภาคแรก นั่นแปลว่าไอ้หน้าหนังในภาคนี้จะมีอายุ 76 ปี แต่ก็ยังแข็งแรงผิดมนุษย์มนาวิ่งได้คล่องแคล่ว
ดูวี่แววแล้วทีมเขียนบทน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจาก Halloween (2018) มาพอควร ด้วยการดึงตัวละคร แซลลี ฮาร์เดสตี สาวที่รอดชีวิตจากภาคแรก ให้มารับหน้าที่เป็นคู่ปรับรายสำคัญของไอ้หน้าหนังในภาคนี้ ดูแล้วนี่มัน ลอรี สโตรด จาก Halloween ชัด ๆ แต่ที่ต่างกันอย่างมากก็คือ ไม่มีใครจดจำ แซลลี ฮาร์เดสตี เพราะเธอไม่ได้ขึ้นชั้นตัวละครที่น่าจดจำ ไม่สามารถเรียกคนดูหรือใช้เป็นจุดขายได้ แต่อย่างน้อยการปรากฏตัวของเธอก็เพิ่มความระทึกขึ้นได้บ้าง ชวนให้ติดตามว่าเธอจะเอาชนะคู่แค้นเก่าได้หรือไม่ ที่น่าเสียดายก็คือ แมริลีน เบิร์น ผู้รับบทแซลลี ฮาร์เดสตี ดั้งเดิมนั้น เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2014 แล้ว หนังก็เลยเลือก โอลเว็น ฟูเอเร มาสวมบทนี้แทน
พิจารณาในด้านหนังเชือดแล้ว ต้องจัดให้ว่าตอบสนองคอหนังแนวนี้ได้อย่างสาสม มีทั้งฉากฆ่าหมู่และฆ่าเดี่ยว เลือดท่วมจอ ทุกฉากฆ่านั้นชวนแหวะ รุนแรง ไม่มีที่จะให้เห็นแวบ ๆ แต่แช่กล้องให้เห็นกันจะ ๆ ไปเลย ฉากไล่ล่าก็ทำได้ชวนลุ้น ฉากที่ตื่นเต้นสุดก็ต้องยกให้ฉากหนีใต้ถุนบ้าน ที่ทำได้หวาดเสียว แม้รู้ว่าจะต้องตกใจ แต่ก็ยังอดสะดุ้งตามไม่ได้ อีกจุดที่น่าชื่นชม คืองานถ่ายภาพ หลาย ๆ ฉากถ่ายออกมาได้สวย พอคาดเดาได้ว่าผู้กำกับการ์เซีย ด้วยความที่มาจากตากล้องภาพยนตร์จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
หนังมีแววลงเหวตั้งแต่สร้างเสร็จแล้ว จากการฉายรอบทดลองตั้งแต่มีนาคมปีที่แล้ว ผู้ชมต่างก็พากันส่ายหน้าว่าไม่ไหว ไม่ไหว ทางผู้สร้างก็พอคิดทบทวนได้แล้วล่ะ ว่าคุณภาพหนังเป็นอย่างไร เลยเปลี่ยนแผนจากที่จะฉายโรง มาขายให้ NETFLIX แทนน่าจะปลอดภัยกว่า อย่างน้อยก็พอได้ทุนคืน Texas Chainsaw Massacre (2022) สิงหาสับ
มันกลับมาอีกแล้ว…! ก็ไม่รู้ว่าใครที่ไปเชิญกลับมา เพราะนี่คือ “Texas Chainsaw Masscare” หรือ สิงหาสับ 2022 การกลับมาของฆาตกรรมมือเลื่อยและเอกลักษณ์ที่การถลกหนังหน้าคนมาแปะหน้าตัวเอง ความสยองในครั้งนี้กลับมาอีกในรูปแบบร้อยเรียงเรื่องราวสืบต่อ แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่สุดท้ายแล้ว หนังก็ยังคงใช้สูตรเดิมๆ และไม่ได้ทำให้รู้สึกประทับใจอะไรสักนิด
Texas Chainsaw Masscare ในเวอร์ชั่นนี้ได้เล่าเรื่องราวต่อเนื่องจากการเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อน หลังจากที่ เลเธอร์เฟซ ได้แอบอำพรางตัวหายไปเกือบ 50 ปี มันก็กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับๆ กลุ่มวัยรุ่นหัวทันสมัยที่เดินทางออกมาจากเมืองใหญ่ เพื่อเสาะแสวงหาเมืองชนบทที่ถูกทิ้งร้างที่หวังจะก่อร่างสร้างเป็นคอมมูนิตี้ให้กับคนรุ่นใหม่ แต่หนทางไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้น เมื่อพวกเขาต้องมาเผชิญหน้ากับไอ้ฆาตกรมือเลื่อยถลกหนังหน้ามนุษย์ในตำนานที่ปรากฏตัวอีกครั้ง
ก็ยังคงเป็นสิ่งที่สงสัยแคลงใจอยู่เบาๆ ว่าทำไมพวกหนังตระกูลนี้ยังกลายเป็นตัวเลือกที่นิยมจะหยิบขึ้นมาสร้างทำใหม่อยู่เรื่อยๆ ทั้งนี้มันก็คือสูตรสำเร็จเดิมๆ ที่แสนจะน่าเบื่อและน่ารำคาญ กับคนตัวเล็กๆ ที่ไม่รู้ประสีประสาอะไรต้องไปต่อกรกับฆาตกรร่างยักษ์ใจอำมหิตที่ไม่เคยบอกเล่าให้รู้เลยสักครั้งว่ามันต้องการอะไรกันแน่ มีแต่หยิบเลื่อยหยิบค้อนมาไล่ฆ่าคนอื่นลูกเดียว รีวิว Texas Chainsaw Massacre สิงหาสับ
และแน่นอนว่า Texas Chainsaw Masscare ก็ยังคงไม่ใช่หนังรีบูตและรีเมคเรื่องโปรดอะไร เพราะหนังก็ยังเต็มไปด้วยความซ้ำซากจำเจมากมาย ทั้งที่แอบหวังจะได้เห็นอะไรที่มีการตีความและแตกโจทย์ใหม่ๆ ออกมาให้คนดูได้ซึบซับ แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงเข้าอีหรอบเดิม เส้นเรื่องที่มีเพียงหยิบมือ มาพร้อมกับฉากการไล่ล่าและไล่ฆ่าแบบเอามันเพียงแค่เท่านั้น
แต่อย่างน้อยๆ ก็ยอมรับว่า Texas Chainsaw Masscare เวอร์ชั่นนี้ก็ยังสามารถเซอร์วิสแฟนหนังได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะใครที่ชื่นชอบการดูฉากฆ่าสยดสยอง เลือดกระเซ็นเต็มออก ก็คิดว่าน่าจะโดนใจและอิ่มเอมไปกับสิ่งที่หนังนำเสนอออกมา (แม้ว่าจะไม่ใช่ทางเราก็ตาม) โดยเฉพาะฉากไฮไลต์บนรถบัส ถือว่าเป็นหนึ่งในฉากที่น่าจดจำของหนังสยองขวัญยุคใหม่เลยทีเดียว
นี่คือผลงานการกำกับเรื่องที่ 2 ของนักสร้างหนังหน้าใหม่ “เดวิด บูล การ์เซีย” ที่ต้องขอบคุณความคลาสสิกของเลเธอร์เฟซโดยแท้ ที่ทำให้ผลงานชิ้นนี้ของเขาไปรอดได้แบบหวุดหวิด ในขณะที่ส่วนประกอบของนักแสดงนั้น เหมือนจะโดดเด่นแต่ก็ยังไม่ได้ดีเด่น เพราะการวางคาแรกเตอร์หลักที่เปิดมาได้อย่างน่าสนใจ แต่สุดท้ายก็ขับเคลื่อนไปแบบไร้น้ำหนักใดๆ ตามเคย
จึงเป็นเหตุทำให้ตัวละครต่างๆ ในหนังเรื่องนี้ ดูจะเป็นสิ่งที่น่าเอาใจช่วยสักเท่าไหร่ จังหวะหาทางหนีทีไล่ต่างๆ ก็เงอะงะและทำให้คนดูแอบหัวเสียอยู่หลายจุด มันก็คือสูตรสำเร็จเดิมๆ ที่ไม่ว่าจะกี่เวอร์ชั่นก็เลือกหากินกับทิศทางนี้ และหนึ่งสิ่งที่หวังว่าจะทำออกมาดีแต่กลับล้มเลวก็คือ ตัวละครอย่าง ‘แซลลี่ ฮาร์เดสตี้’ ที่เป็นผู้รอดชีวิตหนึ่งเดียวจากเหตุการณ์ในยุค 70s กลับมาดูเหมือนจะมีอะไร แต่ก็…ให้ผู้ชมไปดูเอาเองก็แล้วกัน
เอาเป็นว่าในภาพรวมนั้น Texas Chainsaw Masscare ก็ถือว่าน่าจะมอบตัวบันเทิงได้ดีในระดับหนึ่งกับผู้ชมที่ชื่นชอบแนวนี้ แต่คงจะไม่เหมาะกับทางเรา เพราะหนังเรื่องนี้แทบจะไม่มีอะไรที่มีความแปลกใหม่เลย ทุกอย่างยังดำเนินรอบตามสูตรเดิมๆ ของหนังเลเธอร์เฟซ มีการความสยดสยองที่พอทำได้ถึงใจ แต่องค์ประกอบอื่นๆ ช่างน่าเบื่อและจำเจไปตามสูตร…