รีวิว Carter คาร์เตอร์
ดูหนังฟรี ถึงคิวของหนังแอคชั่นสุดระห่ำที่เห็นแค่ทีเซอร์ตัวอย่างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอย่างติดตามต่อว่าจะสะใจแค่ไหน นี่คือ “Carter คาร์เตอร์” ผลงานบู๊ดีเดือดจากเกาหลีที่เติมแต่งความแอคชั่นระดับสากลเข้าไปเพื่อเติมเต็มอรรถรส ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022 ถ้าหากว่าฝั่งโลกตะวันตกมี จอห์น วิก แล้ว ทางฝั่งโลกตะวันออกก็คงจะมีเขาคนนี้ ที่อึดและแกร่งเกินมนุษย์เกาหลีเหนือธรรมดาจริง ๆ รีวิว Carter คาร์เตอร์ รีวิวหนังฝรั่ง
Carter เล่าเรื่องราว 2 เดือนให้หลังจากเกิดโรคระบาดร้ายแรงจากเชื้อดีเอ็มซีที่แพร่ไปทั่วสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ “คาร์เตอร์” ฟื้นขึ้นมาโดยจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้เลย ศีรษะของเขามีอุปกรณ์แปลกปลอมฝังอยู่ ส่วนในปากก็มีระเบิดอานุภาพร้ายแรง เขาต้องคอยทำตามคำสั่งของเสียงปริศนาในหู ระเบิดอาจจะทำงานได้ทุกเมื่อถ้าเขาไม่สามารถช่วยเหลือเด็กผู้หญิงผู้เป็นหนทางเดียวในการผลิตยารักษาไวรัสได้ ดูหนังออนไลน์
แต่ทั้งซีไอเอและกลุ่มที่จะทำรัฐประหารในเกาหลีเหนือต่างไล่ตามเขามาติด ๆ คาร์เตอร์ต้องปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จและมุ่งหน้าไปทางเหนือเพื่อตามหาเด็กผู้หญิงคนนี้ การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของเขาจะถ่ายทอดออกมาในภาพยนตร์แอ็คชันที่ดำเนินเรื่องต่อเนื่องเป็นฉากเดียวนี้
แต่น่าเสียดายเหลือเกิน ที่ความพยายามจะเติมแต่งความบู๊บ้าดีเดือดของเกาหลีในครั้งนี้ ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลวเพราะพยายามมากเกินไปสักหน่อย Carter จึงกลายเป็นหนังแอคชั่นที่แทบจะหาจุดจับใจความสำคัญอะไรแทบไม่ได้เลย นอกจากมุมกล้องวน ๆ เวียน ๆ หมุน ๆ ชวนเวียนหัว และให้ตายเถอะ…ที่ผู้ชมจะต้องทรมานกับสิ่งนี้ไปยาวนานถึง 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว
นี่คือผลงานการกำกับและเขียนบทของ “จองบยองกิล” ที่สร้างชื่อมาจากผลงานเรื่องก่อนใน The Villainess ที่ทำออกมาได้น่าประทับใจ แต่ความพยายามที่นำมาใช้ใน Carter นั้น ถือว่ายังค่อนข้างไม่เวิร์กสักเท่าไหร่ เพราะถึงแม้ว่าหนังจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม องค์ประกอบต่าง ๆ ก็ถูกทำลายไปเพราะมุมกล้องและมุมภาพที่ใช้ในการเล่าเรื่อง ที่แสนจะสะอิดสะเอียนไปตลอดเรื่อง
เทคนิคมุมกล้องของ Carter ที่พยายามจะเล่าเรื่องในลักษณะ One Shot ยาวต่อเนื่องไปตลอดทั้งเรื่อง เมื่อนำมาผสมกับมุมภาพในสไตล์เหมือนกับเล่นวิดีโอเกม RPG อยู่ การผนวกเข้ากันของ 2 องค์ประกอบนั้น เป็นความน่าสะพรึงที่เป็นบ่อนทำลายหนังลงไปอย่างไม่น่าให้อภัย เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบถึงขั้นไปตามสืบค้นเลยว่าใครที่รับหน้าที่เป็นผู้กำกับภาพให้หนังเรื่องนี้กัน
และยังไม่เพียงเท่านั้น นอกจากมุมกล้องและมุมภาพจะค่อนข้างทำให้รู้สึกสะพรึงไม่น้อย ยังต้องมาพบกับการออกแบบฉากแอคชั่นที่เหนือธรรมชาติและผิดแปลกไปแทบจะทุกส่วน ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ผู้สร้างจงใจหรือไม่ หรืออาจจะได้แรงบันดาลใจมาจากสไตล์หนังบู๊จากบอลลิวูดที่ฝืนกฎฟิสิกส์ของสากลโลกไปทั้งหมด คนอะไรจะเก่งกาจเหนือมนุษย์ได้เพียงนี้
ซ้ำยังมาเจอกับงานออกแบบซีจีที่ยังไม่ค่อยจะแนบเนียนไปตลอดทั้งเรื่อง ยิ่งเป็นสิ่งที่เพิ่มความขัดใจและขัดอารมณ์ของดูเข้าไปอีก แม้ว่าตรงหน้าจะเต็มไปด้วยฉากการต่อสู้ที่เข้มข้นและดีเดือดมาก ๆ แต่ในทางกลับกันนั้น ผู้สร้างไม่ปราณีต่อผู้ชมเลยแม้แต่น้อย กำลังปล่อยคนดูมึนและวิงเวียนไปกับการเล่าเรื่องแบบนั่งรถไฟเหาะที่เมื่อไหร่จะหยุด นี่ยังถือว่าเคราะห์ดีที่ Carter เป็นหนังสตรีมมิ่งจอเล็ก เพราะหากเอาขึ้นไปฉายจอใหญ่ในโรงหนัง คิดว่าน่าจะต้องเตรียมกระโถนรองรับอาเจียนไว้ได้เลย
แน่นอนว่าการแสดงของ “จูวอน” คือส่วนที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้เท่าที่จะหาได้และเป็นเช่นนั้น นับตั้งแต่ฉากแรกของหนัง หนุ่มคนนี้ได้ชื่อว่าให้การแสดงที่หลากหลาย และเขามักจะเล่นซีนอารมณ์ได้ดีเสมอ เรื่องนี้ต้องฟิตหุ่นและเพิ่มน้ำหนักเป็นกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ เขาบู๊ออกมาได้ยอดเยี่ยมและน่าประทับใจมาก และเขาก็คือนางแบกของหนังเรื่องนี้ ที่น่าเสียดายการแสดงของเขาก็ไม่อาจจะช่วยพยุงหนังเอาไว้ได้เลย
โดยสรุปแล้วนั้น Carter ถือว่าดีเดือดและเข้มข้นเต็มกำลัง แต่กลับมาพังพินาศแบบงานดีไซน์มุมกล้องและมุมภาพในการเล่าเรื่อง หนังทำให้เห็นแล้วว่าการใช้เทคนิควันช็อตเล่าเรื่องตลอดทั้งเรื่องเป็นผลลัพธ์ที่ไม่ได้จะออกมาดี ถ้าหากว่าฝีมือไม่เนี๊ยบจริง ๆ ก็มีสิทธิ์ตกม้าตายได้เช่นกัน แม้ว่าการแสดงจะพอถูไถไปได้ แต่ไม่สามารถอุดรอยรั่วใด ๆ ได้เลย และเรายังไม่ได้พูดถึงบทหนังของเรื่องนี้ ที่เหมือนจะมีแก่นสารชัดเจน แต่การเล่าเรื่องและฉากบู๊ที่สะเปะสะปะเกินไป ได้ทำลายแก่นนั้นลงไปพร้อม ๆ กันด้วย
หากจะว่ากันถึงคอนเทนต์ที่เป็นจุดขายของ Netflix ในปัจจุบันคงหนีไม่พ้นคอนเทนต์ซีรีส์เกาหลีที่แทบจะสลับเรื่องกันขึ้นอันดับ 1 คอนเทนต์สุดฮิต จะมีเพียงภาพยนตร์เรื่องยาวนี่แหละที่ยังไม่มีโอกาสติดอันดับกับเขา ซึ่งผลงานล่าสุดอย่าง ‘Carter’ หนังแอ็กชันลองเทคกล้องส่ายที่บู๊มันแบบ ‘John Wick’ มีซอมบี้อาละวาดแบบ ‘Kingdom’ และกล้องส่ายตามติดแบบ ‘Hardcore Henry’ ผสานพลอตแบบยืม ๆ ‘Jason Bourne’ นิด ๆ กำลังจะมาอาละวาดพร้อมดาราแม่เหล็กอย่างจูวอน จากซีรีส์ฮิตอย่าง ‘Good Doctor’ มาวาดลวดลายบู๊สุดมัน
โดยเรื่องราวจะเริ่มต้นขึ้นเมื่ออยู่ดี ๆ คาร์เตอร์ ชายความจำเสื่อมตื่นขึ้นมาในห้องโรงแรมก่อนซีไอเอจะบุกเข้ามาเพื่อจับกุมจนเขาต้องหนีตายพร้อมกับต้องสืบหาความจริงว่าตัวเองเป็นใคร ในขณะเดียวกันเขายังต้องหนีการจับกุมทั้งจากซีไอเอและทางการเกาหลี รวมถึงการต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับเหตุโรคระบาดที่ทำให้คนคลุ้มคลั่งและลุกขึ้นมาฆ่าคนอย่างเลือดเย็นซึ่งทางรักษามีเพียงเลือดของลูกสาวนักวิทยาศาสตร์ที่ทางเกาหลีเหนือต้องการตัวและมันอาจเป็นใบเบิกทางสำหรับคาร์เตอร์
หากยังไม่พูดถึงเรื่องราวหรือความสมเหตุสมผลของบท ‘Carter’ ก็คืองานโชว์เทคนิคการถ่ายทำแบบลองเทคในหนังแอ็กชันที่เรียกได้ว่าเป็นการปล่อยของช็อง บย็อง-กิล ผู้กำกับหนังแอ็กชันที่มีฐานจากงานสตันท์แมนมาก่อนคล้าย แชด สตาเฮลสกี้ (Chad Stahelski) ผู้กำกับ ‘John Wick’ เลยและมีหนัง ‘The Villainess’ หนังแอ็กชันสุดระห่ำที่พลอตแอบคล้ายกับ ‘La Femme Nikita’ อัดอดรีนาลีนซึ่ง บย็อง-กิล ก็โชว์เทคนิกลองเทคในการถ่ายทำหลายฉาก
ทีนี้พอมาถึง ‘Carter’ ยอมรับเลยว่านี่คือหนังที่ถูกออกแบบมาให้บย็อง-กิล กำกับโดยเฉพาะ เนื่องจากพล็อตสายลับความจำเสื่อมก็เอื้อเหลือเกินให้การดำเนินเรื่องเหมือนเรากำลังเล่นวิดีโอเกมและไอเทมที่คนดูจะได้คือข้อมูลเพิ่มเติมของตัวละครที่เรารู้จักเพียงแค่ชื่อคาร์เตอร์ แต่เหมือนบย็อง-กิลจะหนักมือไปหน่อยเพราะแค่ซีนแอ็กชันซีนแรกเขาก็เล่นมุมกล้องลองเทคสุดฉวัดเฉวียนถ่ายทั้งโดรนทั้งสเตดี้แคมและกล้องรถบังคับแบบไม่กลัวคนดูคลื่นไส้คืนสารอาหารสู่ธรณีเลยทีเดียว
ซึ่งแน่นอนเลยว่าคำเตือนแรกของเราคือใครไม่ถูกโรคกับหนังที่กล้องส่ายไปส่ายมา ‘Carter’ น่าจะเป็นหนังที่คุณต้องหลีกเลี่ยงหรือใครจะทดลองก็ขอให้ผ่าน 15 นาทีแรกของหนังไปให้ได้ก่อน ใช่แล้วครับ…คือหนังถ่ายลองเทคและมูฟเมนต์กล้องก็ส่ายไปส่ายมาทั้งเรื่องจริง ๆ แต่ก็มีข้อสังเกตอยู่เหมือนกันว่าการที่หนังใช้เทคนิกเยอะ ใช้กล้องที่หลากหลายผสานการใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกมาช่วยในการตัดต่อก็ทำให้ “รอยต่อ” ของแต่ละช็อตเห็นได้ชัดอยู่เหมือนกัน ไม่ได้แนบเนียนเปี่ยมศิลปะแบบหนังอย่าง ‘1917’ หรือ ‘The Revenant’ ที่ซ่อนช็อตด้วยการถ่ายทิลต์กล้องถ่ายท้องฟ้าหรือหลบหลังวัตถุแต่ก็เหมือน ‘Carter’ จะชัดเจนในแนวทางภาพแบบวีดีโอเกมของมันอยู่นะครับ
ส่วนฉากแอ็กชันในหนังก็ต้องยอมรับว่า บย็อง-กิล ก็ยังยึดติดกับช็อตซิกเนเจอร์อย่างการพุ่งตัวชนกระจกและช็อตต่อสู้บนหลังมอเตอร์ไซค์ที่แทบจะลอกจาก ‘The Villainess’ ของตัวเองมาเยอะเหมือนกัน แม้คราวนี้สเกลฉากแอ็กชันจะใหญ่โตขึ้นมีการเดินทางข้ามประเทศ มีมูฟเมนต์ของตัวละครในช่วงเวลากลางวันแต่ลูกเล่นในซีนแอ็กชันต่าง ๆ ก็ไม่ได้เป็นของใหม่สำหรับคอหนังแอ็กชันทั้งฉากดวลกระสุนในที่แคบ ฉากบู๊บนท้องฟ้าหลังเครื่องบินระเบิด หรือมุกหนังผจญภัยยุคสปีลเบิร์กอย่างฉากเดินข้ามเขาด้วยบันไดไม้ใกล้พัง
ซึ่งในภาพรวมของคุณภาพงานกำกับและถ่ายทำฉากแอ็กชันเราก็คงยังพอให้คะแนน บย็อง-กิลด้วยเกรดสูงลิ่วได้เพราะมันก็ตื่นตาตื่นใจและโหดสะใจดีแท้ เพียงแต่องค์ประกอบที่หนังเรื่องหนึ่งจะเป็นหนังดีและดูสนุกได้คงพึ่งฉากแอ็กชันอย่างเดียวไม่ได้แต่จำเป็นต้องมีบทภาพยนตร์ที่แข็งแรง ซึ่ง ‘Carter’ ไม่ได้เข้าข่ายงานที่ขายบทภาพยนตร์ที่รัดกุมและแข็งแรงหรอกครับ เราเลยเห็นหนังสร้างปมขึ้นมาแล้วทิ้งมันไปดื้อ ๆ เพื่อหาทางพาเราไปเจอบิ๊กบอสจนอดอีหยังวะไม่ได้
แต่สิ่งที่ว่าไม่ได้เลยของหนังก็คือการแสดงของ จูวอน นี่แหละครับเพราะงานนี้พระเอกหนุ่มจากซีรีส์ฮิตอย่าง ‘Good Doctor’ ต้องพลิกจากงานดราม่าหนัก ๆ สู่การใช้ร่างกายแบบไม่กลัวพัง ซึ่งผมได้ชมงานแถลงข่าวของหนังแล้วทางจูวอนเองก็ยอมรับว่าไม่มีสักวันที่เขาจะไม่ได้แสดงฉากแอ็กชัน ซึ่งนั่นหมายถึงวินัยในการฝึกฝนเพราะฉากแอ็กชันแต่ละฉากก็เสี่ยงตายอยู่เหมือนกันโดยเฉพาะฉากดวลกันกลางเวหาที่หนังถ่ายฉากสตันท์จริง ๆ เหมือนที่ ทอม ครูซ แสดงใน ‘Mission Impossible : Fall Out’ อีกทั้งจูวอนก็ไม่ลืมที่จะแสดงฝีมือในฉากดราม่าที่แม้จะมีน้อยแต่ก็ทำให้หนังแอ็กชันเลือดสาดเรื่องนี้พอมีหัวใจอยู่บ้างครับ
Carter เป็นภาพยนตร์โดยผู้กำกับ จองบยองกิล เจ้าของผลงาน The Villainess (2017) เป็นการบอกใบ้แรกไว้ก่อนเลยว่า เรื่องนี้จะแอดวานซ์แอ็คชั่นไปอีกเยอะ และบทฮีโร่ลุยโซโล่เที่ยวนี้ก็ได้มอบไว้กับ จูวอน นักแสดงมากฝีมือที่โดดเด่นในงานสายดราม่า ส่วนงานสายบู๊เขาก็เคยโชว์ฟอร์มเรียกความสนใจมาแล้วบ้าง
งานนี้แฟน ๆ ที่รอคอยจะได้สมใจเต็มอิ่ม เพราะจูวอนจัดเต็มจนหล่อจัดบาดใจมาก ตั้งแต่การขุนน้ำหนัก 7 กก. สร้างหุ่นกล้ามล่ำ หัวเกรียนห้าว รอยสักสไตล์มาเฟียเต็มลำตัว ผ่านการฝึกทักษะบู๊แอ็คชั่นนานถึง 4 เดือนก่อนถ่ายทำ ความทุ่มเทชนิดที่เขาบอกว่า ฉากแอ็คชั่นมีให้ถ่ายทำทุกวัน เล่นเองเสียส่วนใหญ่ ซึ่งเขาบอกว่าสนุกและปลอดภัย เพื่อสร้างสรรค์หนังแอ็คชั่นชนิดมันส์หยดทั้งเรื่องอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
โดยความหมายของศัพท์ ‘คาเตอร์ (Carter)’ คือ ‘คนนำส่งของ’ ซึ่งจะถูกนำมาใช้เป็นชื่อของตัวเอกในเรื่องและพล็อตภารกิจของเขา
เรื่องราวเริ่มต้นด้วย ชายคนหนึ่งฟื้นสติขึ้นมาในห้องพักของโมเต็ลแห่งหนึ่งโดยไร้ความทรงจำ มีเพียงเสียงจากอุปกรณ์สื่อสารที่ฝังไว้ในช่องหู สั่งการให้เขาเร่งหนีให้พ้นกลุ่มคนทั้งหลายที่เข้ามารายล้อม ซึ่งต้องลงมือต่อสู้พันตูให้หลุดพ้นการไล่ล่าของคนมากมายโดยที่ไม่รู้เลยว่าใครดีใครร้าย
เขาได้รับรู้เพียงว่าตัวเองชื่อ คาร์เตอร์ (รับบทโดย จูวอน) มีภารกิจสำคัญเดียวคือชิงตัวเด็กหญิง จองฮานา (รับบทโดย คิมโบมิน) นำส่งเธอให้ถึงสถาบันวิจัยอาวุธชีวเคมีของเกาหลีเหนือ เพราะแอนตี้บอดี้ในตัวเธอจะถูกนำไปใช้ผลิตยาต้านโรคติดเชื้อรุนแรงตัวใหม่ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ ในชื่อว่าไวรัส DMZ เหตุเพราะจองฮานาเป็นคนเดียวที่หายจากโรคด้วยการรักษาของพ่อ คือ ดร.จองบยองโฮ (รับบทโดย จองแจยอง) คาร์เตอร์เพียงต้องทำให้สำเร็จอย่างเร่งด่วนที่สุด เพราะข้อมูลใหม่ที่ได้รับรู้ว่าลูกสาวของเขาเองก็ป่วยใกล้ตายด้วยโรคนี้ รอความช่วยเหลืออยู่ที่เกาหลีเหนือเช่นกัน
ก็เพราะเขาเชื่อตามนี้ ปฏิบัติการบู๊สะบั้นแอ็คชั่นระห่ำฉบับ Non-stop จึงเริ่มต้นขึ้นจนไปสิ้นสุดภารกิจ เพื่อจะเฉลยความจริงของตัวตนและเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด รีวิว Carter คาร์เตอร์
หนังเรื่องนี้เหมาะกับผู้ชมสายแอ็คชั่นฮาร์ดคอร์โดยแท้ เขาทุ่มกันสุดตัวสร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยสารพัดฉากแอ็คชั่นเด็ด ๆ (โดยปล่อยวางเรื่องเนื้อหาพักไว้ข้าง ๆ ก่อน) ไม่ว่าจะฉากสู้ประชิดตัว แบบหนึ่งต่อหนึ่ง หรือหนึ่งต่อร้อย หลากอาวุธทั้งของมีคม มีดขวาน ไปถึงปืน และระดับอาวุธสงคราม หรือฉากไล่ล่าและต่อสู้ระทึกลุ้นที่เล่นกับยานพาหนะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นบนรถ บนบิ๊กไบค์ฉวัดเฉวียน บนรถไฟ บนเครื่องบิน ลอยละลิ่วออกมาซัดกันกลางเวหา ตะบี้ตะบันสู้กันไปทุกที่ ทั้งขึ้นเขาลงห้วย สะพานเชือกกลางเหว โรยตัวเฮลิคอปเตอร์ (โดยสกัดความโม้กระจายออกไปพักไว้ข้างๆก่อน…อีกครั้ง ^^) ได้ความมันส์ของเทคนิคฉากลองเทคยิงยาวรวดเดียว
ไม่เพียงแค่นั้น ยังใส่เต็มฉากต่อฉากที่สาดเป็นชุด Non-stop ไม่ต้องหยุดพักหายใจคิดอะไรเลยอีก มาพร้อมกับเทคนิคเคลื่อนกล้องที่แกว่งอิสระแบบ Handheld ตลอดเวลา ให้อารมณ์ตื่นเต้นสมจริงเหมือนเข้าไปอยู่ร่วมในเหตุการณ์ แต่ก็อาจมาพร้อมกับความวิงเวียน ท้องไส้ปั่นป่วนเอาได้ ผู้อ่อนไหวง่ายห้ามดื่มเกินวันละสองขวด เอ๊ย ห้ามจ้องรวดเดียวไม่กระพริบตานานเกิน 555