รีวิว Black Widow
รีวิวหนังฝรั่ง เป็นเวลากว่าทศวรรษกว่า Marvel จะสร้างหนังเดี่ยวให้ฮีโร่หญิงหนึ่งเดียวแห่งทีม Avengers หลังจาก Natasha Romanoff รีวิว Black Widow เปิดตัวครั้งแรกใน Iron Man 2 ตั้งแต่ปี 2010 และฮีโร่ชายในค่ายเดียวกันหลายต่อหลายคนก็ได้มีหนังเดี่ยวไปกันคนละหลายต่อหลายภาคแล้ว
ดูหนังออนไลน์ ถึงแม้ในที่สุด Natasha Romanoff จะได้มีหนังฮีโร่หญิงเดี่ยวของเธอสักที กำกับโดย Cate Shortland ผู้กำกับหญิงเดี่ยวคนแรกของ Marvel แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด มาเจอพิษโควิด ทำให้แฟน ๆ ต้องรอ กันต่อไปอีก เพราะหนังถูกเลื่อนฉายไปปีกว่า ๆ แถมยังเข้าโรง (แทบจะ) พร้อม ๆ กับบน Disney Plus อีกด้วย มิหนำซ้ำ ในหนัง ตัวจริงอย่าง Scarlett Johansson ยังถูกกลบรัศมีโดย Florence Pugh ซึ่งเป็น Widow รุ่นน้องอีกต่างหาก
เอาจริงก็สังเกตได้ว่า หนังดูส่งให้ Rising Star อย่าง Florence Pugh เด่นมากกว่ามาตั้งแต่เทรลเลอร์แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะ overshadow รุ่นพี่ได้ขนาดนี้ จนเรียก ว่าเป็นหนังโซโล่ของ Natasha Romanoff ได้ไม่เต็มปาก มันเหมือนงานเลี้ยงส่งอำลา Scarlett Johansson ที่มาส่งไม้ต่อ ช่วยดันหรือเปิดตัว Florence Pugh ไปสู่จักรวาล MCU (ซีรีส์ Hawkeye) อย่างเต็มตัวเสียมากกว่า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Florence Pugh ก็ทำได้ดีมากจริง ๆ ทั้งที่ถูกประกบโดยนักแสดงรุ่นใหญ่มากมาย แต่เธอก็ยัง shine like a diamond อย่างที่เธอเป็นมาโดยตลอดใน 2-3 ปีมานี้
ดูหนังฟรี อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของ ก็ยังเป็นหนังที่สนุกสำหรับเรา แค่ฉากเปิดก็ทำให้เราน้ำตาคลอแล้ว ส่วนหนึ่งอาจเพราะตื้นตันที่ได้ดูหนังในโรงครั้งแรกในรอบหลายเดือน แล้วฟีลลิ่งมันแตกต่างกว่าการนอนดูจอเล็กที่บ้านมาก ๆ และส่วนหนึ่งก็เพราะเรากำลังได้ไปรู้จักอดีตของสายลับหลายตัวตนคนนี้จริง ๆ แล้วสักที
Natasha Romanoff เป็นฮีโร่ที่เป็นคนธรรมดาที่มีแต่สกิลและหัวใจแท้ ๆ เลย ก่อนจะมาเป็นสายลับหรือนักฆ่าขั้นเทพ เธอก็เป็นเด็กหญิงธรรมดาคนหนึ่ง เธอไม่ได้เป็นเทพเหมือน Thor, ไม่ได้ฉีดเซรุ่ม ตัดแต่งพันธุกรรม หรือได้รับการกระตุ้นพลังใดใดเหมือน Captain America, Captain Marvel, Hulk, หรือ Wanda Maximoff, และไม่ได้มีชุดเกราะกับอาวุธ AI ไฮเทคเหมือน Tony Stark หรือ Ant Man ทำให้หนังค่อนข้างชูความเป็นมนุษย์ชัดเจนกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เราคุ้นเคย
เริ่มเล่าตั้งแต่ปี 1995 สมัย Natasha ยังเป็นเด็กอายุ 12 ขวบ (Ever Anderson จาก Resident Evil) มีชีวิตธรรมดา ๆ อยู่กับครอบครัวที่ Ohio กับพ่อ (David Harbour จาก Suicide Squad) แม่ (Rachel Weisz จาก The Favourite), และน้องสาววัย 6 ขวบ (Violet McGraw จาก The Haunting of Hill House) จนกระทั่งวันหนึ่งพวกเขาต้องหนีออกนอกประเทศหลังจากถูกทางการจับได้ว่าเป็นครอบครัวสายลับรัสเซีย
จากนั้นเส้นเรื่องหลักคือ 21 ปีต่อมา เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่าง Captain America: Civil War and Avengers: Infinity War ช่วงนั้นทางการตามควบคุมตัว Avengers ทุกคนตามข้อตกลงโซโคเวีย Natasha (Scarlett Johansson) ต้องหลบหนีไปกบดาน แต่อดีตก็ยังตามเธอไปทัน ทำให้เธอได้รียูเนียนกับ Yelena น้องสาวของเธอ (Florence Pugh จาก Little Woman) ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งใน Widow ของรัสเซีย และครอบครัวของเธอ เพื่อกำจัด Dreykov (Ray Winstone จาก Beowulf) วายร้ายที่จับเด็กหญิงกำพร้ามาเทรนเป็น Widow และควบคุมพวกเธอเพื่อแผนการครองโลก
รีวิว Black Widow
เว็บดูหนังฟรี THE BEST PART OF MY LIFE WAS FAKE.
สำหรับเรา ถึงแม้ จะเหมือนไม่ใช่หนังฮีโร่หญิงเดี่ยวที่ Natasha Romanoff และ Scarlett Johansson สมควรได้รับซะทีเดียว แต่ก็เป็นหนังที่คุ้มค่าแก่การรอคอย ตอบโจทย์ความบันเทิงได้อยู่ ฉากบู๊เยอะและจัดหนักเหมือนรู้ว่าคนดูอัดอั้น แต่ในขณะเดียวกัน
ก็มีความเป็นมนุษย์ ประเด็นทางเพศ และดราม่าครอบครัวสอดแทรกมาในความเป็นหนังฮีโร่ ซึ่งนักแสดงทุกคนถ่ายทอดบทบาทได้อย่างเอาอยู่ โดยเฉพาะน้องใหม่อย่าง Florence Pugh ที่ขโมยซีนได้แทบทุกฉาก และเล่นฉากดราม่าได้อย่างถึงหัวจิตหัวใจ
เว็บดูหนัง จะปล่อยสตรีมทาง Disney Plus ในวันที่ 6 ต.ค. 2021 ถ้าใครไม่สะดวกดูโรง ก็รอชมออนไลน์อย่างถูกลิขสิทธิ์ได้ แต่โดยส่วนตัว สุดท้าย ก็ยังขอยืนยันว่า การดูในโรงจอยักษ์ มันทำให้เราเข้าถึงทุกอารมณ์ของหนังได้มากกว่าจริง ๆ
ป.ล. มี post-credit 1 ฉาก เป็นฉากต่อจาก Avengers: Endgame และส่งต่อไปซีรีส์เรื่องต่อไปของจักรวาล MCU สำหรับแฟน ๆ Marvel ก็ต้องรอดูแหละ
นาตาชา โรมานอฟ หรือ แบล็ค วิโดว์ กับภารกิจลับที่หายไประหว่างช่วงเวลาของหนัง ‘Civil War’ และ ‘Infinity War’ เพื่อสะสางปมอดีตที่บูดาเปสและการฝึกในเรดรูมก่อนที่จะเข้าร่วมทีมอเวนเจอร์ส พร้อมกับต้องเผชิญหน้าเพื่อนและครอบครัวเก่า ๆ ตั้งแต่สมัยฝึก KGB เพื่อการเป็นสายลับและนักฆ่า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ถูกเล่าถึงเป็นครั้งแรกในจักรวาลหนังมาร์เวลด้วย
ตามจริงแล้วตัวหนังนับว่ามีข้อจำกัดที่น่าเห็นใจอยู่แล้ว ซึ่งอันนี้เห็นได้ตั้งแต่ก่อนชม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตัวละคร แบล็กวิโดว์ นั้นได้มีบทสรุปสุดท้ายไปแล้วจริง ๆ ใน ‘Avengers: Endgame’ (2019) ซึ่งทำให้การหาเรื่องมาสร้างหนังเดี่ยวของตนเองที่ฉายภายหลังนั้นทำได้อย่างยากลำบากขึ้นทั้งยังมีเงื่อนไขมากมาย
ทั้งในแง่ต้องเป็นการอำลาที่ทรงเกียรติน่าจดจำสำหรับแฟน ๆ และสำหรับตัว สการ์เลตต์ โจแฮนสัน (Scarlett Johansson) ที่มีสัญญาแสดงหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย โดยที่มีความผูกพันกับตัวละครนี้และร่วมสร้างความสำเร็จให้หนังจักรวาลมาร์เวลมาร่วม 10 ปี ด้วย นับจากที่เธอปรากฏตัวครั้งแรกใน ‘Iron Man 2’ (2010) และอีกแง่คือด้านธุรกิจที่หนังต้องสานต่อบางอย่างเป็นมรดกการตลาดให้มาร์เวลสร้างรายได้ต่อไป ซึ่งถ้าหากสมดุลไม่ดีก็จะพังทั้ง 2 จุดประสงค์ที่คนทำหนังต้องการ
โดยส่วนตัวมองว่าหนังพยายามกับฟังก์ชันส่งมอบไม้ต่อเสริมธุรกิจจนทำลายความสำคัญของการส่งท้ายตัวละครมากไปนิดหนึ่ง หนังฟรี คือถ้าใครมีแบล็กวิโดว์เป็นโอชิหรือเป็นเมน คงต้องแอบน้อยใจนิดหนึ่งจริง ๆ นี่ก็แอบน้อยใจนิด ๆ ในฐานะที่รอคอยให้แบล็กวิโดว์มีหนังเดี่ยวอย่างเรื่องนี้มานาน
หนังเลือกไปเล่าเรื่องในช่วงเวลาที่เป็นช่องว่าง คือหลังทีมอเวนเจอร์สแตกจากหนัง ‘Captain America: Civil War’ (2016) และก่อนการบุกของธานอสใน ‘Avengers: Infinity War’ (2018) ซึ่งโรมานอฟได้รับการติดต่อจากครอบครัวสายลับโซเวียตในอดีตที่เธอแทบจะลืมเลือนไปแล้วให้กลับไปช่วยเหลืออีกครั้ง ซึ่งด้วยความที่หนังเว้นช่วงฉายมานานจนการขายหน้าหนังเผยรายละเอียดออกมาเยอะมาก ประกอบกับหนังก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากนัก เราแทบจะเดาเรื่องได้เกือบครึ่งหนึ่งแล้ว
ทั้งเรื่องผู้รับสืบต่อบทบาทของสายลับแม่หม้ายดำคนใหม่อย่าง เยเลนา เบโลวา ที่แสดงโดยดาราสาวน่าจับตามองอย่าง ฟลอเรนซ์ พิวจ์ (Florence Pugh) ที่คงจะมีบทบาทต่อไปในทางใดทางหนึ่ง ด้วยอายุนักแสดงที่ยังอยู่ในช่วงที่ไต่ระดับความดัง และ เดวิด ฮาร์เบอร์ (David Harbour)
จะมารับบท เรดการ์เดียน ที่เป็นซูเปอร์โซลเยอร์เหมือน สตีฟ โรเจอร์ แต่เป็นของฟากฝั่งโซเวียตแทน เรายังจะได้เห็นความเก๋าของดาราตัวแม่อย่าง ราเชล ไวซ์ (Rachel Weisz) ในฐานะครอบครัวปลอม ๆ ของโรมานอฟในวัยเด็กด้วย เราได้เห็นบางส่วนของฉากการปะทะขนาดใหญ่ และเปิดตัวร้ายอย่าง ทาสก์มาสเตอร์ ซึ่งคุ้นเคยดีสำหรับแฟนเกมและแฟนคอมิกของมาร์เวล
คือเห็นมามากพอสมควร เมื่อไปชมหนังจริง มันเลยเหลือที่ว้าวน้อยลงกว่าที่ควร แต่ก็ใช่ว่าหนังจะไม่สามารถเซอร์ไพรส์เราได้เลย เพราะมันยังซ่อนเนื้อหาหลาย ๆ อย่างที่ทำเอาอึ้งเหมือนกัน แต่ก็สมเหตุสมผลตามเนื้อเรื่องในหนังที่ได้วางมา มันจึงยังคุ้มค่าการซื้อตั๋วไปรับชมในโรงอย่างมาก อย่างน้อยฉากแอ็กชั่นขนาดใหญ่ที่ควรได้ความอลังของโรงหนังเข้าปรนเปรอประสบการณ์รับชมของเรานั้น มันก็ถือว่าคุ้มอยู่ไม่น้อย
ถ้านับเฉพาะฉากแอ็กชั่นใหญ่ที่หนังประเคนมาให้ นับแบบคร่าว ๆ 2 ฉากใหญ่ และฉากสู้ย่อยๆ ที่มันไม่แพ้กันอย่างการปะทะกันครั้งแรกของแบล็กวิโดว์กับทาสก์มาสเตอร์ หรือการสู้กันแบบเน้นสไตล์บู๊อลเวงของแบล็กวิโดว์กับเบโลวา ก็ถือว่าสมศักดิ์ศรีบทส่งท้ายของแบล็กวิโดว์อยู่นะ
และการถ่ายทอดมุมมองของตัวละครหลักที่เป็นสาว ๆ กันค่อนเรื่องนั้น ก็ได้ผู้กำกับหญิงรุ่นใหญ่ที่เข้าใจเรื่องนี้ดีอย่าง เคต ชอร์ตแลนด์ (Cate Shortland) ซึ่งเคยมีผลงานอินดี้ว่าด้วยเรื่องผู้หญิงที่คุ้นตาคอหนังบ้านเราดีอย่าง ‘Somersault’ (2004) มาแล้ว ซึ่งเธอก็เอากลิ่นอายทั้งมู้ดและการถ่ายภาพจากผลงานเก่า ๆ มาใช้ใน ‘Black Widow’ ได้เข้ากันดี โดยไม่ขัดกับความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ขายแอ็กชั่นแต่อย่างใด
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีที่ผิดหวังเลย อย่างแรกคือในเส้นเรื่องหลักมันธรรมดา หักแบบไม่หัก เดาได้เยอะมาก เซอร์ไพรส์ใหญ่ๆ แทบจะเรียกได้ว่ามีไม่ได้อย่างที่หนังมาร์เวลอื่น ๆ เคยหยิบยื่นให้เรา แถมฉากหลังเอนเครดิตยังจำเป็นต้องผ่านตาซีรีส์ทางดิสนีย์พลัสอย่าง ‘The Falcon and the Winter Soldier’ (2021) มาก่อนเสียอีก ไม่งั้นมี เอ๊ะ มึน ๆ ออกจากโรงแน่นอน
และแม้แต่ขนาดปมใหญ่ของเรื่องมันก็หยิบมาจากแค่ บทพูดหนึ่งที่โลกิเคยพูดกับแบล็กวิโดว์ใน ‘Avengers’ ภาคแรก ที่ว่า ‘ลูกสาวของเดรคอฟ, เซาเปาโล, ไฟไหม้โรงพยาบาล’ ที่ว่ากันตามตรงใครจำได้บ้าง มันเลยเหมือนอยู่ดี ๆ ตัวร้ายระดับโลกอย่างเดรคอฟก็มาปรากฏตัวไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยในเรื่องนี้เสียเฉย ๆ คือถ้ามันยิ่งใหญขนาดท้ายเรื่อง อย่างน้อยก็น่าจะมีการปูความสำคัญของเขามากกว่านี้ให้สมบทตัวร้ายประจำตัวของแบล็กวิโดว์เสียหน่อย
หนังยังโชคร้ายซ้ำซ้อนนอกจากในแง่ความคิดสร้างสรรค์ นั่นคือในแง่การตลาดเพราะดันมีกำหนดเข้าฉายในช่วงที่สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลกจนโรงหนังต้องหยุดให้บริการกันหมด และพอตัดสินใจลงสตรีมมิ่งก็กลายเป็นดาบสองคมเข้าอีกเพราะต้องเผชิญปัญหาเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ตามมา
ซ้ำหนักเข้าไปอีกในเรื่องปัญหาวุ่นวายในการคิดค่าตอบแทนที่เหมาะสมจนเป็นดราม่าระหว่างโจแฮนสันกับทางดิสนีย์ เรียกว่าบรรยากาศรอบตัวหนังไม่ได้ชวนให้รู้สึกดีในการรับชมเลย