รีวิวหนัง La La Land

เรื่องย่อ La La Land (นครดารา) เล่าเรื่องราวของนักล่าฝัน 2 คนที่บังเอิญมาพบกันในเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำลายความหวังและทำหัวใจผู้คนแตกสลาย ‘ลอสแอนเจลิส’ ได้แก่ มีอา (เอมมา สโตน) รีวิวหนัง La La Land พนักงานในคาเฟ่แห่งหนึ่งเธอลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาทำตามความฝันของตัวเองนั่นก็คือการได้เป็นดารา และ เซบาสเตียน (ไรอัน กอสลิง) นักเปียโนผู้หลงใหลในเพลงแจ๊สและอยากจะมีคลับแจ๊สเป็นของตัวเอง แต่ก็มีจุดหนึ่งที่ทำให้ต้องเลือกระหว่าง ความรัก หรือ ความฝัน โดยคำว่า La มาจากตัวย่อของชื่อเมือง Los Angeles

La La Land เป็นภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่าขึ้นหิ้งเลยสำหรับภาพยนตร์เพลง สิ่งที่เป็นจุดเด่นในเรื่องนี้คือการผสมผสานกันระหว่างตัวเนื้อเรื่องหลักกับตัว Musical นั้นทำได้อย่างแนบเนียนคือมีการปูทางไว้ก่อนจากนั้นค่อยๆเปลี่ยนไปเป็น Musical ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เยอะจนเกินไป สังเกตว่าจะมาเฉพาะช่วงที่เป็นฉากโรแมนติกๆ เพลงประกอบภาพยนตร์ก็ดีทุกเพลงเลย ย้ำว่าทุกเพลง
หลังจากที่ดูจบคือฟัง Soundtrack ของเรื่องนี้วนอยู่เป็นอาทิตย์เลยครับ ซึ่งเพลงของ La La Land นั้นถูกประพันธ์โดย Justin Hurwitz เพลงที่ผมชอบมากที่สุดคือ Audition (The Fools Who Dream) เป็นเพลงที่มีอาใช้ออดิชั่นจนผ่าน เนื้อเพลงเกี่ยวกับ ‘นักฝันผู้โง่เขลา’ และซีน Musical ที่ผมชอบที่สุดคือซีนนี้ครับ ซึ่งเป็นฉากที่อยู่ในโปสเตอร์ของภาพยนตร์
รีวิวหนัง La La Land
ภาพยนตร์เรื่องนี้จะแบ่งออกเป็น 4 ช่วง ตามฤดูกาล(ในสหรัฐฯ) ก็คือ Summer (ฤดูร้อน), Autumn (ฤดูใบไม้ร่วง), ดูหนัง  Winter (ฤดูหนาว), Spring (ฤดูใบไม้ผลิ) โดยช่วงต้นเรื่องจะอยู่ในฤดูหนาว ผมมีความรู้สึกว่าตัวเนื้อเรื่องจะสอดคล้องกับฤดูกาลในช่วงนั้นด้วย ตัวหนังเล่าเรื่องอยู่ตรงกลางระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่ซึ่งผสมกันได้ดี เหมือนได้ดูหนังเพลงยุคเก่ากับหนังโรแมนติกยุคปัจจุบันรวมกัน แถมยังมีหลายฉากที่ถ่ายด้วยเทคนิค Long Take ซึ่งเป็นการถ่ายฉากๆหนึ่งด้วยกล้องตัวเดียว ซึ่งนี่จะให้ความรู้สึกเหมือนได้ติดตามตัวละครนั้นไป
ด้วยตัวบทและความสามารถด้านการแสดงของนักแสดงในเรื่องนี้ ทำให้รู้สึกทั้งตลก เขิน รวมถึงมีบางฉากที่ทำให้น้ำตาคลอตามเลย เป็นภาพยนตร์ที่ครบรสมาก ใครที่มีความฝัน มีแพชชั่นแรงๆ ควรมาดูเรื่องนี้เลยครับ เพราะมันจะทำให้ได้คิดได้ตั้งคำถามกับตัวเอง และอาจสร้างแรงกระตุ้นให้ตัวคุณเองด้วย หรือใครที่อยากเสพงานภาพ บอกเลยว่าเรื่องนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนเพราะงานภาพเขาทำดีจริงๆ ทั้งสีและเทคนิคการถ่าย อย่างที่บอกไปว่าใช้เทคนิค Long Take ในการถ่าย ซึ่งจะทำให้รู้สึกอินขึ้นไปอีก
การดำเนินเรื่องค่อนข้างจะเรียบง่ายแต่ก็มีความลึกซึ้งและกินใจ รีวิวหนังฝรั่ง อาจจะเพราะผมก็เป็นคนที่มีความฝันที่ยิ่งใหญ่เหมือนกัน และทำให้เราได้เห็นความจริงของชีวิตว่าโลกแห่งความฝันมันจะต้องจบลงในซักวัน เราอาจต้องเสียใครบางคนไปในขณะที่ทำตามความฝันของตัวเอง ตลอดทั้งเรื่องจะได้เห็นมีอาไปออดิชั่นอยู่ตลอด แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการทำตามความฝัน
 การใช้ดนตรีและเพลงในการดำเนินเรื่องก็เป็นอีกจุดเด่นของหนังเรื่องนี้เพราะทำได้ยากและไม่มีเรื่องไหนทำได้อย่างที่ La La Land ทำ ซึ่งแต่ละเพลงที่ถูกแต่งขึ้นมานั้นก็เข้ากับเนื้อเรื่องและอธิบายความรู้สึกของตัวละครออกมาได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากจบของเรื่องเป็นอะไรที่บีบหัวใจมาก
รีวิวหนัง La La Land
 มันเป็นเรื่องราว 5 ปี ให้หลัง จากที่ทั้งสองแยกกันไปทำตามความฝัน และได้บังเอิญมาเจอกันในคลับที่เซบาสเตียนเปิด ในตอนนี้ทั้งคู่ก็ประสบความสำเร็จแล้ว มีอาได้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง ส่วนเซบาสเตียนก็มีคลับแจ๊สเป็นของตัวเอง เพียงแต่ว่ามันไม่ได้เป็นไปตามความฝันทุกอย่างเพราะทั้งคู่นั้นไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันแล้ว
แต่ทั้งคู่ก็เข้าใจกันและกัน เพราะเป็นคนที่มีความฝันอันแรงกล้าเหมือนกัน เซบาสเตียนก็ได้เล่นเพลงให้มีอา เว็บดูหนัง โดยเพลงนั้นมีชื่อว่า City of Stars และตัวหนังก็ไม่ได้ปล่อยให้เรางงว่าหากทั้งคู่ประสบความสำเร็จและยังประคองความสัมพันธ์มาได้จะเป็นยังไง โดยเล่าคร่าวๆเป็นฉาก Musical ในตอนจบของเรื่อง
แม้ดูๆแล้ว La La Land อาจจะดูเหมือนหนังแนวโรแมนติกทั่วไป แต่จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้นั้นเน้นไปที่ความหลงใหล ความคลั่งไคล้และความฝันของมนุษย์มากกว่าความรัก รวมถึงความล้มเหลวด้วย แต่ความฝันนั้นก็ถูกขับเคลื่อนด้วยความรัก โดยสื่อสารผ่านความคิดและการกระทำของตัวละครในเรื่อง
เนื่องจากทั้งสองมีสิ่งที่เหมือนกันนั่นคือยังไม่มีใครประสบความสำเร็จ ทำให้ทั้งคู่ต้องให้กำลังใจกันอยู่ตลอด อาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ดีที่สุด
ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นเรื่องที่อยากให้ทุกๆคนลองไปดูกัน La La Land เป็นหนังที่ค่อนข้างจะมีความศิลปะสูงมากทั้งบท การกำกับ การดำเนินเรื่อง สีของภาพ
และเพลง เพราะมีการดำเนินเรื่องแบบหนัง Musical ยุคเก่าๆ แต่โดยรวมแล้วถือว่าดีมากๆ อยากให้ลองไปดูกันถึงแม้ตอนจบอาจจะไม่เป็นแบบที่หวัง ตอนนี้สามารถดูได้ที่ Netflix นะครับ ดูจบแล้วลองตั้งคำถามกับตัวเองดูว่า ‘ความฝันจริงๆของเราคืออะไร’

รีวิวหนัง La La Land

 La La Land สุดยอดหนังดีท็อบฟอร์มประจำปีนี้ กวาดทุกเสียงจากเทศกาลหนัง รวมถึงเข้าชิงลูกโลกทองคำ และยังเป็นเต็งหนึ่งออสการ์อีกด้วย La La Land ถูกกำกับโดย Damien Chazelle เจ้าของหนังดนตรี Jazz สุดระห่ำอย่าง Whiplash
รีวิวหนัง La La Land
     La La Land เล่าถึงความรักของ มีอา (Emma Stone) และ เซบาสเตียน (Ryan Gosling) กับความฝันอันยิ่งใหญ่ในมหานครลอสแอนเจลิส มีอา เป็นเด็กขายกาแฟในคาเฟ่แห่งหนึ่งและมีความฝันอยากจะเป็นดารา ส่วนเซบาสเตียน หนุ่มช่างฝันที่เชื่อในวิถีแห่งแจ๊สและอยากจะเป็นเจ้าของคาเฟ่แจ๊สแห่งหนึ่งในมหานครแห่งนี้ ทั้งคู่ได้เดินทางตามฝันแต่ในโลกของความเป็นจริงกลับไม่เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้
     La La Land คือ หนึ่งในหนังที่เยี่ยมที่สุดในปีนี้ นำภาพกลิ่นอายของภาพยนตร์ฮอลลีวูดช่วงราวยุค 50-60 มาคืนชีพในสไตล์ Romantic & Musical สำหรับเนื้อเรื่องของ La La Land ต้องขอบอกว่าไม่มีอะไรมาก เพราะเป็นเนื้อเรื่องที่เราเคยเห็นทั่วๆ ไปกันอยู่แล้ว แต่จุดที่สร้างความโดดเด่นคือ บทหนังที่ทำได้น่าติดตาม พร้อมกับการทำหนังเลียนแบบ Musical ย้อนยุค (แต่ช่วงเวลาในเรื่องจริงๆ คือยุคปัจจุบัน) เรียกได้ว่า Art มากเลยทีเดียว
     นอกจากนี้การกำกับก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำได้เยี่ยม เพราะวิสัยทัศน์ของเรื่อง แนวการดำเนินเรื่องทั้งในส่วนเนื้อเรื่องจริงกับส่วน Musical ดูหนังออนไลน์ สามารถผสมผสานได้อย่างลงตัว อารมณ์ บทสนทนา ท่าเต้น จังหวะหนัง จังหวะเพลง องค์ประกอบเหล่านี้กลมกลืนกันอย่างสวยงาม จุดนี้ขอยกเครดิตให้ผู้กำกับที่สามารถคุมองค์ประกอบได้อย่างยอดเยี่ยม
     ในส่วนงาน Production การกำกับฉากและแสงสีก็อยู่ในระดับห้าดาว มีการให้แสงสีต่างๆ แตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงอารมณ์ รวมถึงย้อมโทนสีให้คล้ายกับเหมือนเราย้อนกลับไปดูหนังฮอลลีวูดเก่าๆ อีกครั้ง (ถ้าเทียบกับหนังไทยสมัยใหม่ ก็โทนสีคล้ายเรื่อง ‘ฟ้าทะลายโจร’ แต่ไม่ฉูดฉาดเท่า) นอกจากนี้ ยังมีการใช้ Long Take มาประกอบในหนังอยู่บ่อยครั้ง ทำให้หนังมีมุมกล้องที่แปลกใหม่ เต็มไปด้วยเทคนิคอันแพรวพราวกระจายทั่วทั้งเรื่อง
    ส่วนภายในเรื่องเราจะพบฉากโทนย้อนยุคที่มีองค์ประกอบศิลป์งดงาม เช่น เสื้อผ้า การแต่งตัว การเต้นแบบ Musical (Contemporary Dance & Tap Dance) สไตล์ฮอลลีวูดย้อนยุค ดนตรีแจ๊ส เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ทำได้ประณีตและ Tribute หนังฮอลลีวูดยุคเก่าได้อย่างน่าประทับใจ
     การแสดงของ Emma Stone น่าจับตามองในระดับเต็ง Oscar เนื่องด้วยบท Mia ไม่ใช่บทที่เล่นได้ง่ายนัก จึงเป็นการโชว์ศักยภาพของ Emma ให้เฉิดฉายอย่างเต็มที่ ช็อตที่ตรึงใจกับการแสดงของเธอมากที่สุด ก็คงไม่พ้นซีนดราม่าในฉาก Audition ครั้งสุดท้าย (The Fools Who Dream) เชื่อว่าใครที่ได้ดูฉากนี้ ก็คงเทคะแนนให้เธออย่างเต็มที่ ด้วยคุณภาพการแสดงของเธอ ที่เราเคยเห็นจากเรื่องอื่นแล้ว (อย่าง Birdman) ทั้งยังทำคะแนนได้ดีในเรื่องนี้ ผสานกับบทหนังที่ดันเธอให้เด่นที่สุดในเรื่อง เชื่อว่าเธอมีคุณสมบัติดีพอที่จะคว้า Oscar ในปีนี้ไปครองได้อย่างแน่นอน
     ส่วน Ryan Goshing (Sebastian) ก็แสดงได้ดี สมบทบาทในมาดหนุ่มติสท์ บื้อ โรแมนติก มาดเข้ม แอ๊คหล่อแต่ก็แอบตลก ดูหนังฟรี (ตามคาแรคเตอร์พระเอกฮอลลีวูดสมัยก่อน) เพียงแต่ว่า หนังไม่ได้ดันบทของ Ryan ให้แสดงอารมณ์ที่หลากหลายมากเท่ากับ Emma จึงคิดว่าอย่างมากแกคงได้เข้าชิง
     อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ทั้งสองก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงลูกโลกทองคำไปแล้ว ด้วยคุณภาพของทั้งคู่ที่ได้ทุ่มเทการแสดงอย่างเต็มที่ ทั้งแสดงเต้น ร้อง !
     [ มีอีกอย่างที่ผมไม่รู้ว่าผู้กำกับจงใจหรือเปล่า คือ การเลือก J.K. Simmons มาร่วมแสดงด้วยในบทเจ้าของคาเฟ่ที่เซบาสเตียนทำงานอยู่ ถ้าใครเคยดู Whiplash จะคุ้นเคยในความโหดของแกดีว่า แกโหดแค่ไหนในบทสอนครูดนตรี ทันทีๆ ที่แกโผล่ออกมา ผมก็นึกขำอยู่เหมือนกันในคาแรคเตอร์เตอร์ที่คล้ายกับเรื่องที่แล้ว คือ นิสัยโหดเหมือนเดิม (บางทีแกอาจจะตกงานจาก Whiplash แล้วมาเปิดคาเฟ่ใน La La Land ละมั้ง ) ]
     “ละครชีวิตจริงไม่มีใครรู้ว่าเราจะเดินไปทางไหน… ท่ามกลางมหานครแห่งความฝัน” เว็บดูหนังฟรี ความฝันกับความจริงเป็นสิ่งที่บรรจบกันได้ยาก แต่ถึงอย่างไรมนุษย์ก็เกิดมาเพื่อมีฝัน ไม่อย่างงั้นเราจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ถึงแม้ว่าฝันนั้นจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ตาม
     สำหรับ La La Land ผมให้ 9.5/10 (งดงาม กลมกล่อม แปลกใหม่และทรงพลัง) มันเป็นหนึ่งในหนัง 5 ดาวที่ดีที่สุดในปีนี้และยังสามาถขึ้นแท่นหนังแนวหน้าของวงการภาพยนตร์ ทั้งแหวกแนวมีความเป็นศิลปะสูง มีสไตล์ของตัวเองที่โดดเด่น (ซึ่งก็ไม่ได้ดูง่ายสักทีเดียว) เราจะได้สัมผัสถึงฉากย้อนยุคคลาสสิค การคารวะหนังเก่าอย่างมีชั้นเชิง เทคนิคอันแพรวพราวของหนัง นักแสดงเต็งออสการ์และดนตรีประกอบที่พร้อมขับกล่อมพาเราเข้าไปในความฝัน ประณีตทุกองค์ประกอบราวกับเนรมิตขึ้นมา
     หากคุณชอบดูหนังแปลกใหม่ / Musical / ย้อนยุค โรแมนติคหรือหนังที่เปี่ยมไปด้วยความฝัน ความรัก ความโรแมนติก ดวงดาวอันเจิดจ้า การตามล่าเพื่อไขว้คว้าฝันในนครแห่งดารา พร้อมกับดราม่าในระดับสะเทือนใจ La La Land คือ หนังระดับห้าดาวที่คุณห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
“ละครชีวิตจริงไม่มีใครรู้ว่าเราจะเดินไปทางไหน ท่ามกลางดวงดาวและความฝัน”
     ก่อนดูเรื่องนี้ ผมแนะนำให้ไปวอร์มดูหนังฮอลลีวูดแนว Musical ย้อนยุคมาก่อนก็ดี ไม่งั้นอาจจะปรับอารมณ์ไม่ทัน เพราะ ปกติเราจะชินแต่การดำเนินเรื่องแบบหนังยุคปัจจุบันมากกว่า นอกจากนี้ถ้าเราดูหนังฮอลลีวู้ดย้อนยุคมา เราจะสามารถเก็บรายละเอียดและสนุกในเวลาที่มีการพูดถึงหนังเหล่านี้
    อีกอย่างเพื่ออรรถรสในการดู ถ้าคล่องภาษาอังกฤษด้วยก็จะยิ่งดี เพราะ ในฉากสำคัญหนังสนทนาโต้ตอบเป็นเพลง บางเพลงต้องตีความ บางช่วงไว บางช่วงช้าๆ หากมัวแต่อ่านซับไปด้วย อาจทำให้อินกับอารมณ์หนังและนักแสดงน้อยลง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *