รีวิวหนัง Fast & Furious 9
ดอม โทเร็ตโต ปลีกตัวออกไปใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับเล็ตตี้และไบรอันลูกชายตัวน้อย แต่พวกเขาก็รู้ว่าแม้จะอยู่ในดินแดนสงบสุข รีวิวหนัง Fast & Furious 9 ก็ยังมีอันตรายอยู่ คราวนี้ดอมต้องเผชิญหน้ากับบาปในอดีตของเขา ถ้าเขาต้องการจะปกป้องชีวิตของครอบครัวที่เขารักมากที่สุด ทีมนักซิ่งของเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อหยุดการทำลายล้างโลกโดยนักฆ่าและนักซิ่งฝีมือฉกาจซึ่งเขาคือ เจคอบ น้องชายของดอม
ในตัวอย่างหนังภาคนี้มีฉากหนึ่งที่แทบจะเป็นบทสรุปของหนังภาคนี้ได้เลยนั่นคือ ฉากที่ดอมและเล็ตตี้ขับรถหนีการไล่ล่าของทหารในป่า (ซึ่งถ่ายทำในจังหวัดกระบี่บ้านเรา) และเมื่อมาถึงสะพานแขวนข้ามเหวปรากฏว่าสะพานได้ขาดไปก่อนแล้วจากการหลบหนีอันทุลักทุเลของพวกโรมันและเท็จ และดอมได้ตัดสินใจขับชนคอสะพานที่เหลือและใช้ล้อเกี่ยวกับลวดสลิงที่เหลืออยู่หนึ่งเส้นเหวี่ยงตัวรถข้ามเหวหนีตายไปได้โดยไร้รอยขีดข่วน แม้รถจะหมุนคว่ำพลิกไปหลายตลบก็ตามv
หนังภาคนี้ก็ไม่ต่างกัน มันคือความพยายามหนีข้ามการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอันน่าทุลักทุเล โดยใช้พลังความเป็นพระเอกแบบไร้เหตุผลและพลังซีจีอีกมหาศาลที่คงเหลือแค่เอามาทำตัวละครเล่นแทนคนแสดงจริง เราก็คงเรียกว่าหนังการ์ตูนพิกซาร์ได้เต็มปาก มาแถผ่านอุปสรรคไปแบบน่าจะตื่นเต้นแต่ก็ไม่มีอะไรให้ลุ้นอีกแล้ว เพื่อเชื่อมไปภาคถัดไปอย่างเท่ ๆ ไร้รอยขีดข่วนหรือแม้แต่ทิ้งความรู้สึกผิดเป็นแผลใจให้ตัวละครนำสักนิดก็ยังไม่มี
การเปลี่ยนแปลงสำคัญในภาคนี้หนึ่งประการที่น่าจะสำคัญใกล้เคียงกับตอนที่หนังเปลี่ยนจากหนังแฟรนไชส์หนังรถแข่งข้างถนนแบบดิบ ๆ มาสู่ยุคหนังซูเปอร์ฮีโรในช่วงเปลี่ยนผ่านภาค 2 ที่ วิน ดีเซล (Vin Diesel) หายไปจากการเป็นตัวละครนำ ก่อนจะกลับมาร่วมกับผู้กำกับ จัสติน ลิน (Justin Lin) แบบชิมลางในภาค 3 และมาเต็มตัวในภาค 4 ที่เหมือนการรีบูตแฟรนไชส์นี้อย่างแท้จริงยาวมาถึงภาคปัจจุบัน รีวิวหนังฝรั่ง
โดยหากสังเกตต้องบอกว่าหัวเรือใหญ่ทางความคิดที่ทำให้แฟรนไชส์นี้เป็นที่นิยมนอกจากดีเซลและลินแล้ว ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่านั่นคือวิสัยทัศน์ของ คริส มอร์แกน (Chris Morgan) มือเขียนบทที่ปั้นหนังมาตั้งแต่ภาค 3 จนถึงภาค 8 และอิ่มตัวทางความคิดสร้างสรรค์จนขอออกไปทำสปินออฟใน Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw (2019) ซึ่งก็เป็นตัวเทียบที่ดีกับหนังภาค 9 นี้เหมือนกัน
ซึ่งส่วนตัวเริ่มรู้สึกว่าทีมงานควรหยุดไปหาอย่างอื่นทำเพื่อรอให้มีความคิดสร้างสรรค์ดี ๆ ค่อยกลับมาทำตั้งแต่ภาค 7 แล้ว พอฝืนทำต่อทุก 2 ปีมันก็ต้องไอเดียตันที่สำคัญมันไม่ใช่หนังที่ทำแบบ 3 ภาคก็จบด้วย แต่อย่างว่าหนังยังทำเงินก็ต้องออกมาโกยในช่วงสังขารทีมงานยังดีอยู่ ก็เข้าใจได้
ในขณะที่มอร์แกนกลับตัวทันและเลือกไปหามุมมองใหม่ ๆ และจับเอกลักษณ์ตัวละครที่ยังหน้าไม่ช้ำ (มาก) อย่าง ฮอบบ์ส และ ชอว์ มาทำหนังคู่หูที่โคตรคอนทราสต์แต่ก็ยังมีมุมโคตรฮาโคตรมัน และแม้จะมีกลิ่นความโม้แบบจัดเต็ม แต่มันก็ยังให้ความบันเทิงกับผู้ชมได้และยังยืนพื้นในความสมจริงตามเซ็ตติ้งใหม่ของหนังที่โม้มาแต่เริ่มอย่างตัวร้ายที่เป็นซูเปอร์โซลเยอร์ได้ลงตัว (แน่นอน วาเนสซา เคอร์บี (Vanessa Kirby) คือของแก้เลี่ยนกล้ามที่โคตรดี)
ลินเลือกจะเขียนบทต่อเองในภาค 9 โดยไปจับมือเขียนบทหน้าใหม่ที่ยังไม่มีผลงานพิสูจน์ตัวเองอย่าง ดาเนียล เคซี่ (Daniel Casey) และอัลเฟรโด โบเตลโล (Alfredo Botello) และผลคือหนังเต็มไปด้วยฉากโม้ที่ขาดอารมณ์ร่วม ใช้มุกเล่นย่ำเท้าอยู่กับอุปกรณ์เดิม ๆ อย่างแม่เหล็ก, จรวดแทบตลอดเรื่อง แล้วคั่นด้วยฉากซิตคอมของตัวละครโรมัน เท็จ และแรมซี่ แบบดูรู้ว่าจัดวางแบบโคตรจงใจ (และไม่ค่อยขำ) เว็บดูหนังฟรี
และคงต้องขออภัยสำหรับแฟนดีเซลด้วย เพราะดูมาถึงภาคนี้คงพูดได้เต็มปากแล้วว่าแกแสดงแบบหน้าเดียวแทบทั้งเรื่อง (ไม่นิ่งแบบเหมือนเศร้าลึก ก็ตาเชื่อมเหมือนพร้อมมีเซ็กซ์กับทุกตัวละครหญิง-ชายในเรื่อง) พอยิ่งขาดตัวละครรองระดับแม่เหล็กที่แสดงได้น่าสนใจอย่าง ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) หรือ เจสัน สเตแธม (Jason Statham) มาประคองมันยิ่งชัดเลยว่า โคตรน่าเบื่อ
ซึ่ง จอห์น ซีน่า (John Cena) ก็ยังไม่ใช่คนที่จะมาชดเชยได้พอ ยิ่งตัวร้ายใหม่อย่าง ออตโต ก็หาเสน่ห์ยังไม่เจอ แล้วตัวร้ายสุดเท่แบบไซเฟอร์ของ ชาร์ลิซ เธอรอน (Charlize Theron) ก็มีเวลาบนจอน้อยมากเหมือนรอไปเล่นภาคต่อมากกว่าจะมีบทจริงจัง ใด ๆ ที่ว่ามาคงเรียกว่าหนังขาดเสน่ห์ไปอย่างสมบูรณ์ทั้งการใช้ของเก่า และการคิดของใหม่ เว็บดูหนัง
จุดที่ดีก็มีในแง่การหยอดใส่ตัวละครจากภาคเก่า ๆ ที่ทำได้หลายจุด ทั้งดึงเอานักแสดงรับเชิญมาเปิดตัวแบบเซอร์ไพรส์หลายคนทั้งนักร้องอย่าง คาร์ดี บี (Cardi B) ซุปเปอร์สตาร์เจ้าของรางวัลแกรมมี่ และโอซูนา (Ozuna) แต่ก็คงว้าวซ่าสำหรับคอเพลงมากกว่าคอหนังที่คงทำหน้าแบบ แล้วไง? และที่ประทับใจก็การมาปรากฏตัวอีกครั้งของ เฮเลน มิร์เรน (Helen Mirren) รวมถึงการเอาตัวละครเก่ากลับมาอย่าง ฮาน ซึ่งก็ถือว่าแถแบบไม่ค่อยรับผิดชอบนักแต่ก็ไม่น่าเกลียด แต่แย่ตรงเอามาใช้โคตรไม่คุ้ม แทบนึกไม่ออกว่าพี่แกมีฉากน่าจดจำอะไรให้สมการฟื้นคืนชีพกลับมา
ที่สำคัญอีกประการคือหนังขาดการทำการบ้านกับเนื้อหาภาคเก่า ๆ ที่ดีพอ จุดขายภาคนี้คือ น้องชายของดอมที่ไม่เคยถูกพูดถึงจะมาเป็นตัวร้ายต่อกรกับดอม โดยได้ซีนามารับบท คำถามตั้งแต่ก่อนรับชมก็คือ คนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวโคตร ๆ แบบโคตร ๆ อย่างดอม ต่อให้มีเหตุหมางใจอะไรก็ตาม ทำไมถึงปล่อยเวลามาจนภาค 9 (ระยะเวลาของแฟรนไชส์คือกว่า 20 ปี) โดยไม่เคยตามหาเพื่อเคลียร์ใจมาก่อนเลย ซึ่งลินก็รู้จุดอ่อนตรงนี้และใส่เหตุการณ์ปมอดีตมาเพื่อทำให้ดูสมเหตุสมผล ทว่ามันสมเหตุสมผลแบบดันทุรังไปให้มันจบ ๆ ภาคเพื่อเอาไปเล่นภาคหน้าอีกแล้ว เพราะถึงจุดชี้ขาดก็คือ ดอมมันกลายเป็นตัวละครที่เห็นน้ำ (เพื่อน) ข้นกว่าเลือด (พี่น้อง) อยู่ดี แล้วไอ้ปมที่ไม่ยอมถามเหตุผลจนมารู้ความจริง มันดูอ่อนเหลือเกินสำหรับดอมที่ผ่านเหตุการณ์ทรยศเพื่อนในภาค 8 มาแล้วนั่นล่ะ
มันให้อารมณ์เหมือนในตัวอย่างหนังที่ โรมันอุทานว่า เฮ้ยเราต้องหยุดเจ้ารถบรรทุกยักษ์นี้จริง ๆ เหรอ? ซึ่งสำหรับคนดูคงทำหน้านิ่ง ๆ แล้วคิดในใจ น่าตกใจตรงไหน พวกแกเคยถล่มเมือง ถล่มเรือดำน้ำ ถล่มเครื่องบินที่กำลังจะขึ้นบินมาหมดแล้วนะเฮ้ย อารมณ์แบบนี้จะมีให้รู้สึกทั้งเรื่องจริง ๆ
และย้ำให้เห็นว่าการโม้แบบไม่สมจริงไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกแย่เกี่ยวกับ Fast ภาคหลัง ๆ แต่เป็นการโม้ที่เริ่มย่ำเท้ากับที่ ฉากโชว์ไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจเท่าในภาคเก่า ๆ แล้ว แถมยังใช้ไอเดียซ้ำภาคก่อนค่อนข้างเยอะ เป็นแบบที่บอกว่าไม่ไหวอย่าฝืน ขืนออกมาทุก 2-3 ปีมาเกือบ 10 ภาคอย่างไรมันก็ตัน
ข้อดีของหนังเรื่องนี้ที่อยากเชิญชวนให้ชมคือ ฉากแอ็กชันเบอร์ใหญ่อย่างนี้ ดูในโรงจะได้พลังจอ พลังเสียงมาขับความยิ่งใหญ่ได้ดีที่สุดเท่านั้นจริง ๆ ส่วนตัวหนังสำหรับแฟนก็ควรดูนะเพื่อจะได้ไปสานต่อกับภาคจบได้เข้าใจ แต่คอหนังทั่วไปก็สุดแล้วแต่ปัจจัยแต่ละคนครับ
ถึงแม้ว่าจะเกือบจะไม่มีโอกาสได้ดู แต่ในที่สุดก็ได้ดู และขอยืนยันอีกเสียงด้วยว่า…หนังเรื่องนี้ต้องดูโรงหนังจริงๆ เพราะนี่คือ “Fast & Furious 9” แฟรนไชส์หนังเรื่องยิ่งใหญ่ที่ไม่น่าเชื่อเลยว่าได้ดำเนินมายาวนานถึง 20 ปีเต็มแล้ว กลับมาในคราวนี้ก็ต้องบอกเลยว่า หนังไปไกล…ไปไกลมากๆ ด้วยการแหกคอกและฉีกกฏทุกสิ่งอย่างที่มีบนโลกใบนี้ กลายเป็นความบันเทิงเต็มรูปแบบที่ไม่ต้องมองหาเหตุผลอะไรกันอีกต่อไปแล้ว หนังใหม่
รีวิวหนัง Fast & Furious 9
เริ่มต้นเล่าเรื่องราวของ ดอม โทเร็ตโต ที่ปลีกตัวออกไปใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ พร้อมกับเล็ตตี้และไบรอัน ลูกชายตัวน้อย แต่พวกเขารู้ว่าแม้จะอยู่ในดินแดนสงบสุข ก็ยังมีอันตรายอยู่ คราวนี้ดอมต้องเผชิญหน้ากับตราบาปในอดีตของเขา หากเขาต้องการจะปกป้องชีวิตของคนที่เขารักมากที่สุด ทีมนักซิ่งของเขากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อหยุดการทำลายล้างโลกโดยนักฆ่าและนักซิ่งฝีมือฉกาจซึ่งเขาคือ เจคอบ น้องชายของเขา
นี่คือหนังเต็มที่อัดแน่นไปด้วยฉากบู๊ลุ้นเกร็งที่เซอร์วิสแฟนๆ ได้เป็นอย่างดีตลอด 2 ชั่วโมงเศษ บอกได้เพียงแค่ว่าภาคที่ 9 ของเรื่องนี้ ต้องปลดปล่อยทิ้งเหตุผลทุกอย่างในโลกแห่งความเป็นจริงเอาไว้ทั้งหมด แล้วปล่อยใจดูหนังแอคชั่นมันส์ๆ เรื่องไป คุณก็ได้รับความบันเทิงเต็มขั้น อันเป็นเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้สร้างหนังชุดนี้ ที่สามารถมอบให้กับผู้ชมได้เต็มที่ในทุกๆ องก์ของหนัง แม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยข้อบกพร่องและความอิหยังวะอยู่เต็มไปหมดก็ตาม
เรื่องนี้ยังคงมีฉากแอคชั่นดุเดือดและดีไซน์องค์ประกอบมาได้ดียาม อีกทั้งยังพยายามจิกกัดตัวเองเบาๆ ไปในตัวด้วย เพราะหนังมักจะหยิบเอาหลักฟิสิกส์มาอ้างใช้ในการวางแผนปฏิบัติการต่างๆ แต่ดูเหมือนว่าหลักการที่พวกเขานำมาใช้และถ่ายทอดออกมา จะโอเว่อร์เกินแบบสุดโต่ง แต่ก็นับว่าเป็นข้อดี เพราะเท่ากับว่าหนังสามารถพาผู้ชมไปได้สุดทางแบบสุดๆ จริง และผลลัพธ์ที่ได้ออกมาก็คืออรรถรสความมันส์สะใจเกือบเต็มรูปแบบ หนังฟรี
ในภาคนี้ยังขยี้ปมดราม่าได้อย่างเข้มข้นไม่เบา ด้วยการใช้จุดเด่นของโครงสร้างหนังที่มักจะมีความเป็นบึกแผ่นในรูปแบบครอบครัวนำมาชูเป็นองค์ประกอบที่กลมกล่อม แม้ว่าการมาของตัวละครใหม่ๆ และการกลับของตัวละครเดิม จะเต็มไปด้วยเหตุผลที่แทบไร้น้ำหนักอย่างสิ้นเชิงก็ตาม แต่ก็เหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะที่ประเดี๋ยวมีจังหวะที่เร้าใจ ประเดี๋ยวก็มีจังหวะที่ตื้นเขิน เป็นการคลุกเคลากันตลอดทั้งเรื่อง
แม้ว่าหนังจะเต็มไปด้วยตัวละครมากมาย แต่ถือว่าฉลาดที่หนังเลือกจะโฟกัสหลักๆ เพียงแค่ไม่กี่คาแรกเตอร์ แน่นอนว่าตัวยืนเรื่องก็คือ ดอม โทเร็ตโต ที่ “วิน ดีเซล” ก็ยังสวมบทบาทนี้ของเขาได้ตามมาตรฐานของเขา โดยที่มีองค์ประกอบเสริมเป็นพาร์ทอดีตมาช่วยสร้างมิติให้กับตัวละครของเขาขึ้นมาได้หน่อย ในขณะที่ เจคอบ โทเร็ตโต บทของ “จอห์น ชีนา” ถือว่าเป็นการมาที่ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย แม้เป็นบทตื้นๆ แต่เขากลับถ่ายทอดออกมาได้ดูมีอะไร และเป็นบทบาทที่เขาสามารถสร้างมิติขึ้นได้ดีกว่าใครๆ
ส่วนคาแรกเตอร์อื่นๆ ได้เข้ามาเสริมเป็นองค์ประกอบเติมเต็มให้กับหนังเรื่องนี้ แต่ถือว่าทุกตัวมีซีนและเฉลี่ยแอร์ไทม์เอาไว้ได้อย่างเหมาะสม แม้ว่าจะไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับคาแรกเตอร์พวกเขามากนัก แต่ทุกคนก็ได้มีโอกาสอยู่หน้ากล้องได้เกลี่ยกันไป แน่นอนว่าที่ไม่พูดไม่ได้ก็คงจะเป็นการกลับมาของ ฮาน ที่รับบทโดย “ซงคัง” ที่คงจะไม่พูดอะไรมาก เพราะในตัวหนังได้บอกถึงเหตุผลสาเหตุที่ว่าเขากลับมาได้อย่างไร
บทอื่นๆ ของหนังที่มีเหมือนเป็นนักแสดงรับเชิญแต่น่าจดจำไม่เบา ก็คงจะต้องยกให้ “ชาร์ลีซ เธอรอน” ที่มาแว่บๆ แต่ออร่าความร้ายกาจของเธอแผ่กระจายเป็นอย่างดี แต่ที่ประทับใจที่สุดก็คงจะเป็น “เฮเลน เมียร์เรน” ที่โผล่ออกมาแค่ซีนเดียว แต่ก็ตราตรึงไม่เบาเลย งานกำกับของ “จัสติน ลิน” ยังคงทำหน้าที่ตามมาตรฐานดี เขารู้วิธีที่จะเซอร์วิสแฟนหนัง รู้จักแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ และสามารถถ่ายทอดหนังออกมาได้ในทิศทางที่ควรจะเป็น ดูหนังออนไลน์
ก็ยังคงเป็นหนังตระกูลฟาสต์ที่คงอรรถรสความสนุกและมันส์ที่น่าจะถูกใจแฟนๆ เป็นอย่างดี เส้นเรื่องในภาคนี้มีความดราม่าของตัวละครเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่ทิ้งจุดเด่นกับปฏิบัติการไล่ล่าสุดซิ่ง ที่หากว่ามองย้อนกลับไปดูตลอดเส้นทางที่ผ่านมาของหนังเรื่องนี้ ต้องยอมรับว่า…หนังมาไกลมากๆ จากจุดเริ่มต้น และดูเหมือนไกลออกไปอีกเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าหนังจะได้กำหนดจุดสิ้นสุดเอาไว้ในภาคต่อไปแล้วแค่นั้น ดูหนังฟรี
เป็นหนังที่สมควรดูในโรงหนังเป็นอย่างยิ่งๆ ดูจอไหนๆ ก็ไม่มันส์เท่ากับจอใหญ่ๆ ในโรง ไหนจะระบบเสียงที่สะท้านหูและเร้าใจได้เป็นอย่างดี ส่วนองค์ประกอบต่างๆ ของหนังก็เชื่อว่าแฟนหนังก็น่าจะคุ้นเคยและใกล้ชิดกันเป็นอย่างดีแล้ว และถึงแม้ว่าจะไม่ใช่แฟนหนังชุดนี้ก็น่าจะสนุกได้ไม่ยาก ภาคนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีพื้นเพจากภาคก่อนๆ มาก็ดูรู้เรื่องได้ไม่ยาก และนี่คือคงจะยกให้เป็นอีกหนึ่งหนังแอคชั่นแห่งปีที่สมการรอคอย