รีวิวหนัง Chaos Walking
ถึงเวลาต้อนรับการมาของอีกครั้งความหวังที่จะเป็นมหากาพย์ไตรภาคเรื่องใหม่ ที่ดัดแปลงสร้างมาจากนิยายชุดแนวไซไฟเหนือจินตนาการบนแผงหนังสือ เรากำลังพูดถึง รีวิวหนัง Chaos Walking จิตปฏิวัติโลก” ผลงานของนักเขียน “แพทริก เนสส์” เป็นนิยายผจญภัยวัยรุ่นเล่มล่าสุดที่นำมาขึ้นจอใหญ่ ด้วยคอนเซ็ปต์และไอเดียที่ค่อนข้างน่าสนใจ เพียงแต่ว่าจะสามารถจะแตกฉานออกได้น่าติดตามหรือไม่ …ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
Chaos Walking ได้อิงมาจากงานเขียนนิยายเล่มแรกของ แพทริก เนสส์ เล่มที่ชื่อว่า ‘The Knife of Never Letting Go’ ที่เล่าเรื่องราวของโลกอนาคตดิสโทเปีย เกิดเชื้อโรคแปลกประหลาดคร่าสิ่งมีชีวิตเพศหญิงจนหมดสิ้น ส่วนผู้ชายทุกคนที่เหลืออยู่จะเกิดอาการบางอย่างที่ไม่สามารถควบคุมตัวได้ ทุกความคิดในหัวมันจะถูกถ่ายถอดออกมาเป็นภาพ กระทั่งวันหนึ่ง “ทอดด์ ฮิววิต” เด็กหนุ่มที่ออกเดินทางพร้อมกับสุนัขตัวโปรดได้พบกับ “ไวโอล่า” ผู้หญิงคนแรกในชีวิต สิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจอ เหตุการณ์นี้นำไปสู่เรื่องราวแห่งการร่วมผจญภัยค้นหาความลับอีกจักรวาลของโลก และหนีให้พ้นจากอานุภาพของเดอะ นอยซ์
ก่อนอื่นใดก็ต้องยอมรับเลยว่า ตัวนิยายก่อนจะมาเป็นหนังนั้นค่อนข้างมีไอเดียที่แปลกใหม่และท้าทายเป็นอย่างมาก แค่ประเด็นการถ่ายทอดความคิดของคนออกมาในรูปแบบภาพและเสียงได้ก็เป็นโจทย์ที่แปลกประหลาดมากๆ แล้ว ส่วนตัวผู้เขียนยังไม่เคยมีโอกาสได้อ่านนิยายชุดนี้ แต่ก็เชื่อว่าคำบรรยายเป็นตัวหนังสือของนิยายนั้น บางทีก็อาจจะนึกภาพไม่ออกเกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าว เสียงกับภาพความคิดที่ปรากฏขึ้นจะออกมาเป็นอย่างไร
รีวิวหนังฝรั่ง แต่เมื่อได้กลายมาเป็นฉบับหนัง ในจุดนี้นี่เองที่หนังได้ช่วยเติมเต็มจินตนาการและวาดภาพออกมาให้ดูมีมุมมองที่ชัดยิ่งขึ้น เราได้เห็นการทำงานหลักความคิดที่ออกมาในรูปแบบภาพและเสียงตามที่บทประพันธ์ต้องการอยากจะสื่อสาร นี่จึงกลายเป็นไอเดียที่ค่อนข้างเข้าท่า และน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เพียงแต่น่าเสียดายเหลือเกิน ที่โดยภาพรวมแล้ว หนังยังถ่ายทอดและเล่าเรื่องต่างๆ ได้ยังไม่ดีและชัดเจนเท่าที่ควรจะเป็น
เราคงทราบกันดีกว่า Chaos Walking จิตปฏิวัติโลก เป็นหนังเจ้าปัญหาที่ต้องกลับมาเปิดกล้องถ่ายทำซ่อมกันใหม่ เพราะผู้บริหารยังไม่พอใจกับผลลัพธ์ และยังต้องถูกเลื่อนฉายออกไปเป็นปีๆ มาถึงจุดนี้ก็อาจจะเข้าใจมุมมองแล้วว่า ทำไมหนังถึงไม่ได้รับการยอมรับให้ไฟเขียวจากผู้บริหาร เพราะเนื้อหาของหนังค่อนข้างมีวิธีที่สื่อสารและเล่าถึงคนดูได้ค่อนข้างยาก หากว่าตีโจทย์ตีความได้เก่งกาจก็จะยอดเยี่ยม หากพลาดไปเพียงนิดเดียวก็จะไร้ซึ่งความน่าจดใจ
และก็ดูเหมือน Chaos Walking จะเป็นอย่างหลังไปเสียมากกว่า เพราะเมื่อพิจารณาดูโดยรวมแล้ว ดูหนังออนไลน์ หนังก็ยังไม่มีแก่นสารใดๆ ที่มากเพียงพอที่จะน่าสนใจหนัก นอกจากประโยคซ้ำๆ เดิมๆ ที่ตัวละครพยายามกีดกันความคิดไม่ให้หลุดโพล่งออกมาที่ว่า “ฉันคิดทอดด์ ฮิววิต” ที่ต้องได้ยินซ้ำๆ ไปตลอดทั้งเรื่องไม่ต่ำกว่า 20-30 รอบ แม้ว่าหนังจะใส่มุกเบ๊อะบ๊ะให้กับตัวละครเขามาบ้าง แต่ยังสร้างมิติให้ตัวละครได้ไม่ดีเท่าที่ควรนัก
แต่ทั้งนี้ก็ต้องขอบคุณเคมีนักแสดงที่เข้ากันได้ด้วยดีอย่างน่าอัศจรรย์ ระหว่าง “ทอม ฮอลแลนด์” กับ “เดซีย์ ริดลีย์” การขึ้นจอคู่กันของทั้งสองกลายเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ดีที่ทำให้หนังดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างดี มาว่าบทบาทของพวกเขาจะแทบจะไร้มิติและไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดมากสักเท่าไหร่นักก็ตาม แต่ด้วยทักษะและอินเนอร์ทางการแสดงของพวกเขาก็ทำให้ช่วยพยุงหนังทั้งเรื่องไปได้แบบทะลุทุเล
ต้องบอกว่า Chaos Walking มีมุมที่น่าสนใจ แต่ก็มีมุมที่น่าเบื่อค่อนข้างเยอะเหมือนกัน หนังเปิดเรื่องออกมาได้แบบชวนง่วงนอนเป็นอย่างดี ในช่วง 15 นาทีแรก กลายเป็นช่วงที่คนดูจะต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้ ดูหนังฟรี แต่พอหนังเข้าสู่เรื่องราวของหนังและประกายไฟจุดติดขึ้นได้ก็จะไหลลื่นขึ้นไปเรื่อยๆ ตลอดทาง
หนังยังมีกลิ่นอายเป็นแบบหนังผจญภัยวัยรุ่นเรื่องก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น “The Hunger Games” หรือ “The Maze Runner” ด้วยโทนต่างๆ มีโทนที่ใกล้เคียงกัน และด้วยความที่หนังปูทางเอาไว้เป็นฉบับไตรภาค ทำให้หนังเหมือนยังจะไปไม่สุดทาง ทำท่าเหมือนจะเก็บกักเอาไว้สำหรับภาคต่อไป กลายเป็นการเดินทางผจญภัยที่ยังไม่ค่อยน่าสนใจมากเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม ประเด็นของหนังก็ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างโลกใหม่ หรือการเมืองการปกครอง รวมทั้งประเด็นเชื่อมโยงเกี่ยวกับการแบ่งแยกเรื่องเพศ ที่เป็นประเด็นละเอียดอ่อนและสื่อสารออกมาได้อย่างน่าสนใจ แต่กลับน่าเสียดายที่หนังไม่สามารถขยี้ไปได้สุดทาง การนำเสนอและเล่าเรื่องของหนังยังมีปัญหาเต็มไปหมด ยังไม่สามารถถ่ายทอดออกมาให้น่าสนใจได้เพียงพอนัก
โดยภาพรวมแล้ว Chaos Walking จิตปฏิวัติโลก ก็ถือว่าเป็นหนังไซไฟผจญภัยที่พอจะดูได้เพลินๆ แค่ได้ดู ทอม กับ เว็บดูหนังฟรี เดซีย์ อยู่ด้วยกันบนจอก็น่าจะเอ็นจอยได้บ้างแล้ว เพียงแต่โดยภาพรวมหนังทำออกมาได้ไม่ดี เพราะโจทย์และประเด็นต่างๆ ค่อนข้างท้าทายในการถ่ายทอด ทำให้วิธีการเล่าเรื่องของหนังยังค่อนข้างมีปัญหาและไม่ค่อยน่าจดจำสักเท่าไหร่ จึงแอบน่าเสียดายที่หนังที่ปูทางเอาไว้ให้กับภาคต่อ แต่เมื่อเห็นทุนสร้างกว่า 100 ล้านเหรียญ แต่ผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้…อนาคตที่จะได้ดูภาคใหม่ก็น่าจะเกิดขึ้นได้ยาก
นับเป็นหนังไซไฟฟอร์มยักษ์ที่ขอมาประเดิมตลาดหนังปี 2021 เลยก็ว่าได้สำหรับ Chaos Walking โดยพ่วงเครดิตความน่าดูตั้งแต่ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) จาก Spider-Man Far From Home และ เดซี ริดลีย์ (Daisy Ridley) จาก Star Wars : The Rise Of Skywalker และหนังยังได้ ดั๊ก ไลแมน (Doug Liman) ผู้กำกับหนังไซไฟฟอร์มล้ำอย่าง Jumper ที่มีแฟนบอยรอคอยการสานต่อเรื่องราวอยู่ไม่น้อยมากุมบังเหียนจนเรียกได้ว่า Chaos Walking แทบจะเต็มไปด้วยคุณสมบัติในการเป็นหนังไซไฟเยี่ยม ๆ เรื่องหนึ่งได้เลยทีเดียว
สำหรับเรื่องราวของหนังจะกล่าวถึงโลกอนาคตที่มนุษย์ได้ย้ายไปยัง “โลกใหม่” เว็บดูหนัง ที่มนุษย์ผู้ชายจะมี “นอยซ์” (Noise) หรือเสียงคิดที่ไม่อาจควบคุมได้และมันยังแสดงออกมาเป๋็นภาพความคิดเหมือนโพรเจกเตอร์ฉายภาพเลยด้วยซ้ำ ตัวเอกของหนังคือ
ท็อด ฮิวอิต (ทอม ฮอลแลนด์) หนุ่มน้อยที่อาศัยกับคุณพ่อทั้ง2คนที่วันดีคืนดีเขาได้พบกับวิโอล่า (เดซี ริดลีย์) สาวที่ตกลงมาพร้อมยานอวกาศและเธอยังถือเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาได้พบอีกด้วย แต่หลังจากเรื่องถึงหู นายกเทศมนตรีเพรนทิส (แมดส์ มิกเคลเซน – Mads Mikkelsen) ท็อดและวิโอลาจำต้องหนีการตามล่าและส่งข่าวถึงผู้อพยพระลอกใหม่ให้ทันเวลา
ยอมรับล่ะว่า ดั๊ก ไลแมน เป็นผู้กำกับที่หยิบจับประเด็นเด่น ๆ ที่น่าสนใจได้เก่งกาจคนหนึ่งของฮอลลีวูดตั้งแต่ผัวเมียสายลับไฝว้กันใน Mr. and Mrs. Smith หรือ มนุษย์ที่สามารถจัมป์ข้ามเวลาและสถานที่ท้าทายกฎฟิสิกส์ใน Jumper กับหนัง Chaos Walking ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเพราะแม้หนังจะสร้างจาก The Knive of Never Letting Go ของ แพทริก เนสส์ (Patrick Ness) ที่มาร่วมเขียนบทดัดแปลงจากผลงานตัวเองด้วย
ทว่าสารสำคัญตั้งต้นของหนังกลับไปโฟกัสที่ท็อด ในฐานะวัยรุ่นจิตวุ่นวายที่ไม่อาจคุมนอยซ์ตัวเองได้และมันก็นำพาปัญหาต่าง ๆ มามากมายรวมไปถึงการเอานอยซ์มาเป็นเครื่องมือในการเปิดเปลือยสภาพสังคมการเมืองที่มันส่งให้นายกเทศมนตรีเพรนทิสผู้ควบคุมนอยซ์ตัวเองได้ดีกว่าคนอื่นเป็นใหญ่ในสังคมชายเป็นใหญ่และมันยังสร้างตัวละครที่สุดขั้วอย่างแอรอน (เดวิด โอเยโลโว – David Oyelowo)ที่เรียกตัวเองว่าบาดหลวงคอยแพร่คำสอนเรื่องวันสิ้นโลกผ่านนอยซ์ที่ตัวเองภูมิใจประหนึ่งเดินแก้ผ้าโทง ๆ ด้วยความภูมิใจในความเป็นชายชาตรีซึ่งทำให้เห็นเลยว่าท็อดที่ใช้ชีวิตในเพรนทิสทาวน์มีสังคมที่เป็นมลพิษเพียงไหน
แต่ปัญหาของหนังก็เลี่ยงไม่ได้ล่ะเพราะพอผู้กำกับไปเน้นกิมมิกล้ำ ๆ อย่างเรื่องนอยซ์เป็นภาพควัน ๆ เล่นวิชวลเอฟเฟกต์แต่ดันไม่อธิบายอะไรเลยทั้งเรื่องการมาถึงของมนุษย์ระลอกแรก การเมืองเรื่องเพศหญิงเพศชายหรือกระทั่งเอเลียนเจ้าถิ่นที่เคยถูกเคลมว่าเป็นคนคร่าชีวิตแม่ของท็อดไปตอนเด็กซึ่งพอสิ่งเหล่านี้มาปรากฎในหนังตามรายทางเลยอดไม่ได้ที่คนดูจะรู้สึกว่ามันไม่เมคเซนส์และดูเป็นการยัดเยียดเข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแม้ว่ามันจะทำให้หนังตื่นเต้นมากขึ้นและทำให้หนังดู “มีอะไร” มากกว่าแค่หนังที่มีผู้ชายจิตเจี๊ยวจ๊าวก็ตาม
แต่กระนั้นสิ่งที่หักคะแนนไม่ได้เลยคงหนีไม่พ้นการแคสติงนักแสดงที่หนังเรียกได้ว่า “ตอบถูกทุกข้อ” ทั้งทอม ฮอลแลนด์ที่ถ่ายทอดความเป็นหนุ่มจิตวุ่นวายที่เหมือนเปลือยภาพคิดต่อหน้าหญิงสาวจนเต็มไปด้วยความลักลั่นความเคอะเขินจนน่าจะถูกใจแม่ยกหนุ่มสไปดี้อย่าง “น้อนทอม” ไม่น้อยซึ่งต้องยอมรับตามตรงว่าถ้าไม่ใช่ฮอลแลนด์ถ่ายทอดแล้วคาแรกเตอร์ที่มีเสียงคิดเจี๊ยวจ๊าวตลอดเวลาอาจดูน่ารำคาญก็เป็นได้
รีวิวหนัง Chaos Walking
ส่วนเดซี ริดลีย์แม้ภาพแรกที่ปรากฎจะแทบลอกลายลุคของเรย์ในมหากาพย์ Star Wars มาชัดไปหน่อยแต่พอเข้าเรื่องราวจริง ๆ เธอก็สามารถสร้างเสน่ห์ให้คาแรกเตอร์ของเธอได้โดดเด่นไม่น้อยเลยรวมถึงแมดส์ มิกเคลเซนที่รับบทนายกเทศมนตรีได้น่ากลัวจริง ๆ ส่วนน้องหมาจอมขโมยซีนสร้าง “ความงุ้ย” และเรียกเสียงหัวเราะได้ดีทีเดียว
Chaos Walking ฉบับภาพยนตร์ กำกับโดย Doug Liman (จาก Edge of Tomorrow) สร้างจากนิยายดิสโธเปียของ Patrick Ness เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกอนาคต ตัวละครดำเนินชีวิตบน New World ซึ่งเป็นดาวดวงใหม่นอกโลก พวกเขาตั้งรกรากกันในชื่อ Prentisstown ซึ่งตั้งชื่อตามผู้นำ Mayor Prentiss (Mads Mikkelsen จาก Doctor Strange) โดยทั้งหมู่บ้านมีแต่ผู้ชาย (ราวกับเมืองลับแล) และความคิดของทุกคนจะเป็นเสียงและภาพที่คนอื่นก็สามารถรับรู้ได้ว่า ณ ตอนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ เรียกว่า “Noise”
เมื่อดูหนังจบ เราจินตนาการออกแทบจะทันทีเลยว่า Tom Holland ต้องกำลังพล่ามบ่นว่าตนไม่น่ารับเล่นหนังเรื่องนี้เลย มันต้องเป็นตราบาปหรือความอัปยศอดสูในอาชีพการงาน หนังฟรี อุตส่าห์สร้างสมชื่อเสียงมานานแรมปีทั้งกับหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง Spider-Man และหนังเน้นโชว์ศักยภาพการแสดงอย่าง The Devil All the Time
Chaos Walking เป็นหนังที่ค่อนข้างน่าเบื่อ และไม่ได้ chaos อย่างที่คิด ไม่ว่าจะฉากแอ็คชั่นไล่ล่า ฉากเอเลี่ยน (ซึ่งเจอแค่ 1 ตัวถ้วน) หรือฉากความอลหม่านของความคิดในหัวผู้ชายต่าง ๆ พูดตรง ๆ เราว่ามันเหมือนหนังเกรด B ที่ใช้นักแสดง A-List เล่น ซึ่งไม่ได้มีแค่ Tom Holland กับ Daisy Ridley เท่านั้น ยังมีดารารุ่นใหญ่อีกหลายคน แถมยังมี Nick Jonas ร่วมด้วย ซึ่งบทของ Nick Jonas คือง่อยมาก เป็นบทที่ใครมาเล่นก็ได้ แต่ไม่ควรเป็นระดับสมาชิกบอยแบนด์ชื่อดังและหล่อระดับโลกอย่าง Nick Jonas (ใช่ค่ะ อันนี้โกรธ)
หนังไม่ได้ชี้แจงว่าทำไมในโลกนี้จึงมีแต่ผู้ชายที่มี Noise หนังต้องการจะสื่ออะไรเกี่ยวกับเพศหรือเปล่า เช่น เหมือนผู้หญิงทุกคนเกิดมาก็ต้องมีประจำเดือน แต่ประจำเดือนของผู้หญิงไม่ได้เป็นเรื่องสนุกเหมือน Noise ในหนัง เพราะ Noise เป็นได้ทั้ง power หรือ strength และก็เป็น weakness ได้ในเวลาเดียวกัน ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะคอนโทรลมันได้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็น่าเสียดายอีกเช่นกันที่หนังไม่ได้เล่นประเด็นของ Noise ได้สนุกอย่างที่ควรจะเป็น
แต่สุดท้ายท้ายสุด Noise ก็เป็นไฮไลต์ของหนังตามชื่อไทย “จิตปฏิวัติโลก” นั่นแหละ แต่มันไม่ได้พีคถึงขั้นจะปฏิวัติอะไรได้เป็นจริงเป็นจังขนาดนั้น ส่วนใหญ่จุดเด่นของ Noise ในหนังจะค่อนไปทางบันเทิงหรือตลกเสียมากกว่า โดยเฉพาะตอน Tom Holland หลุดคิดนู่นคิดนี่หรือพยายามควบคุมความคิดตัวเองไม่ให้มัน think out loud ซึ่งมันเป็นคาแรกเตอร์ Tom Holland มาก ๆ จนนี่ก็คิดนะว่า หนังควรเอาดีไปทาง comedy และขายเสน่ห์ของ Tom Holland ตรงนี้แบบเน้น ๆ ไปเลยให้รู้แล้วรู้รอดน่าจะสนุกกว่านี้
หนังมีสาระไหม มีประเด็นไหม แน่นอนว่ามี คอนเซปต์และธีมโอเคเลย แต่ในหนังมันจับต้องไม่ค่อยได้ เหมือนหนังไม่ได้ให้ความสำคัญ ทั้งที่มันน่าสนใจมากและสะท้อนสังคมปัจจุบันได้ เช่น การก้าวข้ามผ่านวัย (coming-of-age) ของพระเอกจากชาว ignorant มาเป็นคนแรก ๆ. ที่ลุกขึ้นมาปฏิวัติ สังคมและแนวความคิดชายเป็นใหญ่ (Patriarchy & Masculinity) การเหยียดเพศ (Sexism) หรือการเติบโตมาท่ามกลางคำโกหกหรือ Propoganda ลวงโลก รวมถึงการปิดกั้นโอกาสทางการศึกษาเพื่อที่ผู้นำชั่วจะได้คอนโทรลหรือชักจูงผู้คนในสังคมได้ง่าย