รีวิว The Black Phone สายหลอน ซ่อนวิญญาณ

ดูหนังฟรี สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ วันนี้ ME ก็มีภาพยนตร์สยองขวัญมาฝากอีกเช่นเคย กับภาพยนตร์เรื่องใหม่ รีวิว The Black Phone สายหลอน ซ่อนวิญญาณ ดูหนังออนไลน์ ใครที่เป็นคอหนังสยองขวัญคงได้ยินผ่านหูมากับบ้างแล้วใช่ไหมคะ ซึ่งหลังจาก ME ได้ไปชมมาสด ๆ ร้อน ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022  ก็คืออยากจะบอกว่าเป็นหนังสยองขวัญที่ทำออกมาได้สมกับที่  อีธาน ฮอว์ก มารับบทบาทในครั้งนี้มาก ๆ รีวิวหนังฝรั่ง แต่จะดีและน่าดูขนาดไหน ไปอ่านรีวิวThe Black Phone สายหลอน ซ่อนวิญญาณ กันเต็ม ๆ ได้เลยค่าาา ดูหนัง

คุณอยากดูมายากลไหม? เชื่อว่าถ้าคุณได้ดูหนังเรื่องนี้คงวิ่งหนีไปให้ไกลแน่ถ้าได้ยินประโยคนี้

รีวิว The Black Phone สายหลอน ซ่อนวิญญาณ
เรื่องราวสุดสยองเริ่มต้นขึ้นเมื่อฆาตกรต่อเนื่อง ชื่อว่า The Grabber (รับบทโดย อีธาน ฮอว์ก) ได้ลักพาตัวเด็กชายวัย 13 ปี ชื่อว่า Finney มาขังไว้ที่ห้องใต้ดินที่ลับตาผู้คน แต่เรื่องราวกลับซับซ้อนมากกว่าทุกครั้งเมื่อ Finney ได้รับปลายสายจากเด็กที่เคยถูกจับมาขังที่นี้และถูกฆ่าตาย การได้รับรหัสจากวิญญาณจึงก่อให้เกิดเรื่องราวสุดประหลาด ที่จะทำคุณนั่งลุ้นตัวเกร็งไปกับหนังเรื่องนี้โดยไม่รู้ตัว
ต้องขอบอกก่อนเลยว่าส่วนตัว ME เป็นแฟนคลับคุณอีธาน ฮอว์ก มาตั้งแต่เรื่อง ‘Before sunrise’ ดังนั้นภาพจำที่เรามีต่อเขาคนนี้คือความดูเป็นหนุ่มแสนดีรักอิสระ ที่จริงใจและยังแฝงไปด้วยท่าทีที่น่ารัก
แต่สำหรับในเรื่อง The Black Phone คือฉีกทุกอยากที่ ME เคยมีต่ออีธาน ฮอว์ก ไปหมดไม่เหลือจริง ๆ เลยค่ะ เพราะคุณเขามาในบทที่ทั้งโหดและโรคจิตสุด ๆ ต้องยกความดีความชอบนี้ให้กับตัวนักแสดงที่สามารถล้างภาพผู้ชายแสนดีออกไป จนเราต้องมานั่งถามตัวเองว่านี่คือ อีธาน ฮอว์ก จริง ๆ หรอ ถือเป็นการฉีกบทบาทที่ทำออกมาได้ดีจนน่าตกใจ

สายหลอนซ่อนวิญญาณนอกจากนี้นักแสดงอย่าง เมสัน เธมส์ ที่มารับบท Finney ถือเป็นบทบาทที่สามารถเป็นผลงานแจ้งเกิดของนักแสดงเด็กคนนี้ได้เลยค่ะ เพราะน้องจากน้องจะส่งแสดงอารมณ์ที่หวาดกลัวแล้ว ในฉากต่าง ๆ ที่ต้องปะติปะต่อเรื่องราวเพื่อหาทางออก เมสัน เธมส์ แสดงออกให้คนดูอย่างเราลุ้นจนลืมกินป๊อปคอร์นไปเลยค่ะ

รีวิว The Black Phone สายหลอน ซ่อนวิญญาณ
ในส่วนของเรื่องถูกเขียนบทโดยผู้กำกับของเรื่องอย่าง สก็อต เดอร์ริคสัน ที่เคยสร้างผลงานให้เราได้ชมมาหลายเรื่องก่อนหน้านี้ อาทิ Sinister, The Exorcism of Emily Rose และภาพยนตร์มาร์เวลที่เป็นขวัญใจของใครหลายคนอย่าง Doctor Strange จึงให้บทหนังเรื่องนี้อยู่ในมาตราฐานของหนังสยองขวัญที่สมบูรณ์แบบ โดยเรื่องมีความเชื่อมโยงกันอย่างสมเหตุสมผล ใครที่ความโหดเหี้ยมและลุ้นระทึกหนังเรื่องนี้ก็ใส่มาครบเรียกว่าลุ้นนจนเหนื่อยกันไปเลยค่ะ

แต่ ME ต้องขอเตือนก่อนเลยว่าใครที่มีภาวะจิตตกง่ายอาจแต่อยากดูจริง ๆ ต้องเตรียมใจให้พร้อมด้วยนะคะ เพราะการทำให้คนดูจิตตกไปพร้อมกับเนื้อเรื่องและตัวละครเป็นสิ่งที่หนังเรื่องนี้ต้องการให้คนรู้สึกไปด้วย นอกจากเนื้อเรื่องที่สนุกสมฐานะการเป็นหนังสยองขวัญแล้ว ต้องขอชมเรื่องฉากและโทนสีที่ใช่เลยค่ะ

ความสลัวของบรรยากาศในเหมือนเป็นเสริมพลังให้หนังเรื่องนี้ดูหดหู่ยิ่งขึ้น อีกทั้งห้องขังที่เป็นเสมือนฉากหลักของเรื่องก็เป็นอีกจุดที่ทำให้เราอึดอัดอยากหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ‘The Black Phone’ หรือ ‘สายหลอน ซ่อนวิญญาณ’ กับหมอแปลก ‘Doctor Strange’ ฮีโรจากค่าย Marvel มันมีความเกี่ยวข้องกันอยู่นิด ๆ นะครับ เหตุผลก็เพราะว่า สก็อต เดอร์ริกสัน (Scott Derrickson) ผู้กำกับสายสยองขวัญที่เคยสร้างชื่อใน ‘Sinister’ ทั้ง 2 ภาค รวมทั้ง ‘The Exorcism of Emily Rose’ (2005) แกเคยแวบไปกำกับ ‘Doctor Strange’ (2016) มาก่อนแล้วทีหนึ่ง
รีวิว The Black Phone สายหลอน ซ่อนวิญญาณ
แล้วจริง ๆ เดอร์ริกสันนักเขียนบทคู่บุญ ซี โรเบิร์ต คาร์กิลล์ (C. Robert Cargill) ที่เคยเขียนบทด้วยกันทั้ง ‘Sinister’ (2012) ‘Sinister 2’ (2015) และหมอแปลกภาคแรก ก็มีความตั้งใจไว้แล้วแหละว่าจะกลับมากำกับภาคต่อ ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ (2022) แต่ว่าด้วยความที่ไอเดียไม่ลงรอยกัน เดอร์ริกสันกับคาร์กิลล์ก็เลยขอบาย หันกลับมาสร้างหนังสยงขวัญทุนต่ำในแบบที่คุ้นเคย จนออกมาเป็น The Black Phone ได้ในที่สุด
ที่ผู้เขียนบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญทุนต่ำ อันนี้ต้องเน้นย้ำว่าทุนเค้าต่ำเตี้ยเรี่ยดินจริง ๆ นะครับ เพราะหนังสยองขวัญเรื่องใหม่ล่าสุดจากค่าย ‘บลัมเฮาส์ โปรดักชันส์’ (Blumhouse Productions) เรื่องนี้ เขาใช้ทุนสร้างแค่ 18.8 ล้านเหรียญเองครับ แต่เห็น Low Cost แบบนี้ ทำรายได้ฉายในต่างประเทศฟาดไปเกือบ 100 ล้านเหรียญ พร้อมกับคำวิจารณ์ที่ถือว่าค่อนไปทางบวกเป็นส่วนใหญ่
รีวิว The Black Phone สายหลอน ซ่อนวิญญาณ
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เดอร์ริกสันและคาร์กิลล์ร่วมมือกันดัดแปลงเรื่องสั้นความยาว 30 หน้า จากผลงานหนังสือรวมเรื่องสั้นแนวสยองขวัญติดอันดับ The New York Times Best Sellers ที่มีชื่อว่า ’20th Century Ghosts’ (2015) เขียนโดย โจ ฮิลล์ (Joe Hill)
ซึ่งเขาก็คือลูกชายของ ‘สตีเฟน คิง’ (Stephen King) เจ้าพ่อสยองขวัญระดับตำนานนั่นเอง และยังได้พี่ อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน ‘Sinister’ (2012) กลับมาร่วมชายคาบลัมเฮาส์อีกครั้ง
เรื่องราวของ The Black Phone ว่าด้วยเรื่องของ ด.ช. ‘ฟินนีย์ ชอว์’ (Mason Thames) เด็กชายขี้อายแต่มีแววอัจฉริยะวัย 13 ปี ที่ถูกฆาตกรต่อเนื่องโรคจิตภายใต้หน้ากากที่มีนามว่า ‘เดอะ แกร็บเบอร์’ (Ethan Hawke) ลักพาตัวไปขังไว้ในห้องใต้ดินที่แสนจะอับทึบและเงียบงันจนแทบจะไม่มีใครได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือ แต่ในห้องนั้นกลับมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ นั่นก็คือโทรศัพท์โบราณสีดำเครื่องหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังในห้องนั้น
รีวิว The Black Phone สายหลอน ซ่อนวิญญาณ
ทันใดนั้น เหตุการณ์เหนือธรรมชาติก็เกิดขึ้น เมื่อน้องกลับได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ทั้ง ๆ ที่ตัวมันเองไร้ซึ่งสัญญาณ เมื่อฟินนีย์รับสาย ปรากฏว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ แท้ที่จริงแล้วเป็นโทรศัพท์ผีสิง ปลายสายคือเสียงจากวิญญาณของเหยื่อคนก่อน ๆ ของเดอะ แกร็บเบอร์ ที่พยายามส่งเสียงมาถึงฟินนีย์ เพื่อช่วยเหลือไม่ให้น้องเกิดเหตุซ้ำรอยเหมือนกับเหยื่อคนก่อน ๆ

ด้วยความที่ตัวเนื้อเรื่องของหนังเล่าเรื่องภายใต้บรรยากาศของรัฐโคโลราโดยุค 70’s ซึ่งจริง ๆ ยุคนี้ถือเป็นยุคเรืองรองของคดีฆาตกรรม ลักพาตัว ฆาตกรต่อเนื่องเป็นทุนเดิม ตัวหนังก็เลยหยิบเอาบรรยากาศความกลัวและความหดหู่อดสูใจจากยุค 1970 มาสร้างบรรยากาศ ปูเรื่องให้รู้ถึงบรรยากาศความสยองขวัญปนหดหู่ของคนที่อยู่ในล้อมรอบของเหตุการณ์ รีวิว The Black Phone สายหลอน ซ่อนวิญญาณ

และก็เป็นแรงส่งให้เรารู้สึกถึงการเคารพวิธีการเล่าเรื่องแบบหนังสยองขวัญยุคเก่าไปด้วยพร้อม ๆ กัน ซึ่งจะว่าไปก็มีความคล้ายกับการเซตบรรยากาศความสยองปนคัลต์ยุค 80’s ในซีรีส์ ‘Stranger Things’ อยู่เหมือนกันนะครับ

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ตัวหนังเองก็ไม่ได้พยายามจะประโคมโหมกระหน่ำฉากโหดเลือดสาด หรือใส่ Jump Scare ตึ่งโป๊ะล่อให้สะดุ้งนะครับ ตรงกันข้าม ตัวหนังกลับเลือกเสื่ยงที่จะเล่าด้วยพล็อตลูกผสมระหว่างพล็อตหนังเชือดแบบสแลชเชอร์ (Slasher) หนังเอาตัวรอดในที่ปิด วิญญาณสิงสู่ และพล็อตแนว Supernatural หรือแนวเหนือธรรมชาติ ที่ชวนให้นึกถึงพล็อตสยองขวัญผสมเหนือธรรมชาติที่วางพล็อต ‘ชง-ปู-เก็บกลับ’ สไตล์สตีเฟน คิง ที่อาจชวนให้นึกถึง ‘It’ (2017) หรือแม้แต่ ‘Sinister’ (2012) อยู่นิด ๆ เหมือนกัน
ตัวหนังสามารถควบคุมโทนเรื่อง และพล็อตออกมาได้ค่อนข้างดีเลยล่ะครับ แม้ตัวหนังในองก์แรกจะทำให้รู้สึกว่าเดินเรื่องเนือย ๆ และมีอาการโดด ๆ ข้าม ๆ ไม่ยอมปูเรื่องบางเรื่องที่ควรจะปูไปบ้าง เพราะเน้นปูเรื่องของฟินนีย์ที่เป็นเด็กฉลาดแต่โดนรังแก
โดนบูลลี่เป็นหลัก แต่ก็ต้องชื่นชมว่า ตัวบทสามารถวางพล็อตเรื่องได้ฉลาดทั้งการวางพล็อต และค่อย ๆ วางจุดหักมุมของเรื่องเอาไว้ภายใต้การเล่าแบบนิ่ง ๆ เน้นฉากความรุนแรงที่จัดจ้านติดเรต R แต่ตัวหนังกลับพึ่งพา Jump Scare น้อยมาก แต่สามารถเล่าเรื่องได้หดหู่ น่ากลัวได้ชวนสะดุ้งเกือบทุกดอก
และตัวหนังก็ฉลาดในการวางสัดส่วนระหว่างการเอาตัวรอดของน้องฟินนีย์จากห้องปิดตาย และความโรคจิตของฆาตกรหน้ากากปีศาจ พร้อม ๆ ไปกับเส้นเรื่องของตัวละครที่มีความ ‘เหนือธรรมชาติ’ เป็นคนคอยเบิกทางเบาะแสจากภายนอกไปด้วย ก็เลยยิ่งทำให้ชวนให้เอาใจช่วยทั้งคู่ไปด้วย เรียกได้ว่าเป็นการลุ้นระทึกที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ แอบติดตลกร้ายชวนไหล่สั่น มีสารบางอย่างให้คิดต่อ ก่อนจะปิดจ็อบด้วยฉากโหดสะใจแบบสุดเขตเรต R ทำให้หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังสยองขวัญ-ทริลเลอร์ที่ครบรสแบบไม่มีอะไรค้างคาจริง ๆ ครับ
ในแง่ของการแสดง แน่นอนว่าหลายคนคงโฟกัสไปที่น้า อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) โจรโรคจิตไล่จับเด็ก ที่แม้ผู้เขียนแอบรู้สึกว่าอยากให้คุณน้าแกได้โชว์ฟอร์มกว่านี้เยอะ ๆ แต่แค่นี้ก็ถือว่าไม่ผิดหวังแล้วล่ะ เต็มไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจและโรคจิตแบบสุด ๆ
ส่วนน้อง เมสัน เธมส์ (Mason Thames) ในบท ฟินนีย์ ชอว์ ที่แสดงหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ก็ถือว่าทรหดอดทน ฉายแววความเป็นเด็กป๊อด และกล้าหาญได้ครบเครื่องในคนเดียว รวมทั้งน้อง เมเดอลีน แม็กกรอว์ (Madeleine McGraw) ในบท ‘เกว็น’ น้องสาวของฟินนีย์ โดยเฉพาะการยิงมุกของน้องนี่คือจี๊ดใช้ได้เลย
โดยสรุป ‘The Black Phone สายหลอน ซ่อนวิญญาณ’ คือหนังผี-ทริลเลอร์-เอาตัวรอด ผสม Supernatural ในแบบฉบับของ สตีเฟน คิง ที่สามารถสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอึดอัด วางพล็อตหักมุมได้ชวนสะดุ้ง ขับเคลื่อนเรื่องด้วยความฉลาด ท้าทาย
เป็นเหตุเป็นผล น่าเอาใจช่วย ปูและเก็บกลับได้ดี แทรกด้วยมุกตลกร้ายกาจเล็ก ๆ ไว้แก้เลี่ยนด้วย นี่อาจไม่ใช่หนังที่ถูกใจคอหนังสยองขวัญสายคลุ้งคาวเลือด สยองขวัญแบบตู้ม ๆ แต่เป็นหนังลุ้นระทึกที่ได้บรรยากาศลุ้นบวกสยองที่เหมาะกับการดูในโรงหนังเพื่อให้ได้อรรถรสอย่างเต็มที่ รับรองว่าดูจบแล้วน่าจะหลอนเสียงโทรศัพท์​ไปอีกนาน…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *