รีวิว All the Money inthe World
รู้สึกได้ถึงความ Desperate ของโจรเลย จริงๆ เป็นหนังที่ผู้เขียนเคยขับมอเตอร์ไซค์ไปดูคนเดียวมาก่อนในโรงภาพยนตร์แถวๆบ้าน ตอนที่หนังเข้าแรกๆ ดูหนังฟรี เพราะอยากรู้ว่าคนๆหนึ่งจะขี้งกได้มากขนาดไหน ชนิดที่จะทิ้งให้หลานในสายเลือดของตัวเองจะเป็นจะตายยังไงก็ได้เพียงเพราะเงินคำเดียวเหรอ และพอได้เข้าไปดูดูหนังออนไลน์ ในโรงก็คิดได้ทันทีว่าอำนาจของเงินมันทำได้มากแค่นั้นเลยแหละ มากชนิดที่ยอมทิ้งหลานชายของตัวเอง ไม่ยอมจ่ายเงินเรียกค่าไถ่ รีวิว All the Money inthe World รีวิวหนังฝรั่ง
ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022 และเริ่มคิดแล้วว่าความงกของคนเรามันงกได้มากขนาดนั้นเลยแหละ ดูหนังฟรี จากการยอมย้ายมาอยู่ชนบทเพียงเพราะค่าข้าวของอาหารเครื่องบริโภคมีราคาถูกกว่าแค่ ดอล แถมยังไม่ยอมช่วยเหลือพนักงานที่ทำงานร่วมกันมานาน และช่วยบริษัทน้ำมันของตัวเองมาหลายครั้งหลายหน แม้ว่าลูกของตัวเองกำลังจะป่วยตายและเขาต้องการเงินจริงๆก็ตาม
แม้แต่หลานชายของตัวเองถูกลักพาตัวไป คุณปู่คนนี้ก็ยังระแวงว่านี้เป็นการจัดฉากการลักพาตัวไปหรือเปล่า จนยอมเสียเงินจ้างคนสืบหาความจริง มากกว่าที่จะจ่ายค่าประกันตัวที่โจรเรียกแค่ 17 ล้านบาท ทั้งๆที่ตัวเองเป็นมหาเศรษฐีที่มีเงินถึงหมื่นล้าน สิ่งเดียวที่คุณปู่จอห์นยอมจ่ายก็คือภาพวาดศิลปะของแท้ที่เป็นงานอดิเรกของเขา แสงสีเสียงองค์ประกอบฉากเรียกได้วา หดหู่สุด Desperate สุด ทั้งโจรเรียกค่าไถ่ หลานชายที่ถูกเรียกค่าไถ่ แม่ที่ตระเวนออกสื่อ และทำทุกอย่างเพื่อรวบรวมเงินช่วยเหลือลูกชายแต่ก็ยังไม่พอ อีกทั้งสามีของเธอยังติดเหล้ามากๆและไม่สนใจอะไรอีก คนเดียวที่สบายจริงๆในเรื่องก็คือคุณปู่จอห์น พอล เก็ตตี้ ที่ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ โดดเดี่ยว และน่าเบื่อ เพราะความงกเงิน หวงเงินมาก
ในปี 1973 หลานชายของคุณปู่ที่เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันที่รวยที่สุดคนหนึ่งในโลก เป็นคนแรกที่รวยเกินพันล้านในประวัติศาสตร์เลย ไปเที่ยว ใช้เวลาพักผ่อนส่วนตัวที่จาไมก้า ก่อนจะถูกลักพาตัวไป แล้วพ่อแม่ของน้องต้องระดมทุนและหาเงินจากทั่วโลกเพื่อช่วยลูกชาย เพราะปู่ของเขาไม่ยอมจ่ายเงินช่วย
เรื่องราวที่ว่าเกิดขึ้นในปี 1973 เมื่อ จอห์น พอล เก็ตตี้ที่สาม (ชาร์ลี พลัมเมอร์) ถูกจับไปเรียกค่าไถ่กลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี และด้วยเป็นหน่อเนื้อสกุลเก็ตตี้ทำให้ เกล (มิเชลล์ วิลเลียมส์) แม่ของพอลพยายามทำทุกทางเพื่อหวังให้ จอห์น พอล เก็ตตี้ ซีเนียร์ (คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์) คุณปู่มหาเศรษฐีสุดเย็นชา ยอมเจียดเงินมาจ่ายค่าไถ่ให้โจรแต่การจะเปลี่ยนใจคนใจหินที่เห็นเงินดีกว่าหลานนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายโดยงานนี้เกลหวังพี่งพาได้เพียงเฟลตเชอร์ เชส (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) อดีตซีไอเอผู้ช่วยที่เก็ตตี้คนปู่หวังให้ไปเจรจาลดค่าไถ่จากโจร
แน่นอนล่ะว่าการได้เรื่องราวเรียกค่าไถ่สะเทือนประวัติศาสตร์มาทำเป็นหนังย่อมมีความน่าสนใจในตัวเองอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผู้กำกับอย่างริดลีย์ สก็อตต์ ปรุงแต่งให้เรื่องราวมีความแตกต่างจากหนังเรียกค่าไถ่อื่นๆก็ตรงที่การใส่รายละเอียดและสร้างมิติให้ตัวละครทุกตัวด้วยภาษาภาพยนตร์จนเรื่องราวดูสมจริงและแทบไม่มีใครเป็นฮีโร่หรือผู้ร้ายที่แท้จริงในเหตุการณ์นี้ได้เลยสักคนโดยเฉพาะออกแบบสภาวะแวดล้อมตัวละครตัวละครอย่าง จอห์น พอล เกตตี้ ซีเนียร์ ที่มีทั้งความเย็นชาและว้าเหว่ ภายใต้บ้านหลังใหญ่โตเต็มไปด้วยสินทรัพย์มูลค่ามหาศาลแต่กลับมีแสงเพียงเล็กน้อยพอสาดส่องให้เขาเห็นเพียงมูลค่าน้ำมันบนกระดาษเพื่อสะท้อนความเป็นเศรษฐีที่หมดความเชื่อใจและไม่เห็นคุณค่าของมนุษย์ ทำให้ทั้งเรื่องนอกจากจะต้องมานั่งลุ้นว่าเกลและเฟลตเชอร์จะช่วยพอลได้ไหม เรายังต้องมาลุ้นให้คุณปู่ขี้ตืดยอมใจอ่อนและมีมนุษยธรรมซักทีซึ่งนับว่าเป็นการสร้างตัวละครที่ชาญฉลาดมาก ไม่เพียงเท่านั้นตัวละครฝั่งโจรอย่างซินควอนต้า (โรแมง ดูริส) ที่แม้ใบหน้าจะดูโหดเหี้ยมแต่กลับเปี่ยมน้ำใจจนเป็นเพียงทางรอดเดียวของพอลท่ามกลางคนโฉดที่ลักพาตัวเขามาก็ยังสร้างทั้งความขบขันและไม่น่าไว้วางใจให้กับเรื่องราวได้ลุ้นระทึกกันไปอีกขั้นอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น ริดลีย์ สก็อตต์ ยังสามารถควบคุมจังหวะจะโคนในแต่ละฉากให้คนดูได้ลุ้นระทึกกันตลอดแถมยังล่อหลอกคนดูกันไม่เว้นแต่ละซีน ทั้งการใช้โมทีฟหรือวัตถุกระตุ้นเรื่องอย่างรูปสลักที่ถูกวางให้กลายเป็นของมีค่าในต้นเรื่องก่อนความจริงจะเปิดเผยซึ่งนอกจากจะช่วยก่อร่างสร้างความระทึกให้กับเรื่องราวแล้วมันยังส่งเสริมกับธีมหลักของเรื่องอันว่าด้วยคุณค่าที่มนุษย์ปั้นแต่งให้สิ่งต่างๆและช่วยเปิดปมตัวละครในตระกูลเก็ตตี้ที่แทบไม่ได้ผูกพันธ์กันด้วยสิ่งใดนอกจากทรัพย์สินเงินทองเพียงเท่านั้น แถมหนังยังมีจุดชวนหัวอย่างความโง่เขลาเบาปัญญาของโจรหรือแม้กระทั่งจุดที่ล่อหลอกคนดูให้เชื่อว่า พอล ปลอดภัยแล้ว ก่อนจะตลบหลังคนดูจนเราไม่อาจคาดเดาทิศทางของเรื่องราวได้อีก ซึ่งส่วนนี้คงต้องชื่นชม เดวิด สการ์ปา มือเขียนบท The Last Castle (2001) ที่สามารถสรุปเรื่องราวจากหนังสือบันทึกความทรงจำสู่บทหนังระทึกขวัญครบรสทั้งความบันเทิงและไม่ด้อยด่าในแง่การส่งเสริมให้คนเกิดพุทธิปัญญา
ท้ายสุด แน่นอนล่ะว่าใครก็คงต้องชื่นชม คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ ที่สามารถสวม จอห์น พอล เก็ตตี้ ซีเนียร์ ได้อย่างลุ่มลึกและสามารถขโมยซีนได้ทุกฉากที่ปรากฎตัว โดยแทบจะกลืนกินและกลายเป็นตัวละครมหาเศรษฐีใจหินได้อย่างแทบไม่ต้องพยายาม แต่กระนั้นเราก็ยังไม่อาจมองข้าม มิเชลล์ วิลเลียมส์ ในบท เกล แม่ผู้พยายามทำทุกทางให้ได้ลูกกลับมา ทั้งสีหน้าแววตาและการแสดงที่นำพาอารมณ์ตัวละครให้คนดูได้รู้สึกพังทลายตามเธอทุกครั้งที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ได้จริงๆ จนบางทีสาเหตุที่มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ยอมบริจาคส่วนต่างจากการถ่ายซ่อมถึงหนึ่งล้านห้าแสนเหรียญเข้ากองทุนต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศในนามมิเชลล์ วิลเลี่ยมส์ น่าจะเพื่อชดเชยกับความอยุติธรรมของค่าจ้างที่เขาได้มากกว่ามิเชลล์เป็นร้อยเท่านั่นเอง
หนังที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง
หนังมีความยาว 2 ชั่วโมง 12 นาที กำกับโดย Ridley Scott เป็นหนังที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตระกูลเก็ตตี้ ที่หลานชายของเขา ถูกลักพาตัวไปจริงๆ และปู่ของเขาก็ไม่ยอมจ่ายค่าไถ่จริงๆซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อในประเทศสหรัฐอเมริกาในสมัยนั้้น ซึ่งหนังเรื่องนี้ได้ชิงรางวัลออสการ์มาถึง 9 รางวัล ถึงคดีเรียกค่าไถ่ที่มีปู่ขี้งกมากที่สุดในโลก ซึ่งเข้า Netflix แล้ว
เป็นหนัง 2 ชั่วโมงกว่าๆที่เล่าเรื่องเรื่อยๆ แต่หลังดูจบต้องอุทานว่านี้มันสนุกเป็นบ้า มีหนังลักพาตัวไม่กี่เรื่องที่ผู้เขียนรู้สึกสงสารและเห็นใจโจรขึ้นมา แม้จะทำตัวกักขฬะ และไม่น่าเอาแบบอย่างก็ตาม และ เรื่องนี้ ก็เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่ผู้เขียนรู้สึกสงสาร เห็นใจโจรจากใจจริง และผู้เขียนคิดว่าถ้าผู้เขียนเป็นโจร ผู้เขียนคงวางแผนหาทางลักพาตัวคุณปู่จอห์นมากกว่าที่จะเป็นหลานชายที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แถมพ่อแม่ยังไม่มีเงินจ่ายอีก
ก็เป็นหนังเนื้อดีที่มีเหตุมีผล การถ่ายภาพและองค์ประกอบในเรื่องถือว่าสวยเหมือนเสพงานอาร์ตไปในตัว โลเคชันในเรื่องก็ดีมากๆด้วย ทักษะการแสดงของตัวละครเรียกได้ว่าโคตรเรียล โดยเฉพาะสายตางกๆโลกนี้มีแต่เงินของคนที่มารับแสดงเป็นคุณปู่จอห์นเลย อีกทั้งเวลาที่เราลำบากคนเดียวที่เป็นห่วงเราจากใจจริงๆก็คงมีแต่แม่ของเรา รู้สึกได้ถึงพลังความรักอันยิ่งใหญ่ของคนเป็นแม่ที่ต้องการทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกชายคนเดียวของตัวเองจากหนังเรื่องนี้เลย
หนังถูกจับตามองในวงกว้าง ตั้งแต่การเลือกหยิบยกเอาเหตุการณ์จริงของคดีเรียกค่าไถ่ที่อื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์มาตีแผ่ รวมถึงการตัดสินใจของ Ridley Scott (ผู้กำกับ Alien, Blade Runner, Gladiator, The Martian ฯลฯ) ที่กล้าลงทุนถอด Kevin Spacey (จาก American Beauty, Baby Driver ฯลฯ) ออกจากหนัง เนื่องจากข่าวอื้อฉาวกรณี Sexual Harassment ทั้งที่หนังถ่ายทำเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว
Kevin Spacey เป็นตัวละครนำสำคัญของเรื่อง คือรับบทเป็น J. Paul Getty (อภิมหึมามหาเศรษฐี ที่รวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลก) โดยคนที่มาแทนที่เขา ได้แก่ Christopher Plummer (นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ที่อายุมากที่สุดในโลกจากผลงานเรื่อง Beginners) รีวิว All the Money inthe World
มีฉากของ J. Paul Getty อยู่ไม่น้อย แถมแต่ละฉากล้วนสำคัญต่อการดำเนินเรื่องและเส้นเรื่อง แต่ถึงกระนั้น Ridley Scott ไม่เลื่อนกำหนดวันฉาย ทำให้เขา ทีมงาน รวมถึงสองนักแสดงนำอย่าง Mark Wahlberg (จาก TheFighter, Patriots Day ฯลฯ) และ Michelle Williams ต้อง reshoot ให้ทันภายใน 6 สัปดาห์ (แต่ปู่ Plummer ถ่ายซ่อมจริง ๆ แค่ 10 วันนะ) ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ท้าทายและเสียสละเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยสตอรี่แล้ว หนังมีความน่าดูมากอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาได้ Michelle Williams กับ Christopher Plummer สวมบทบาทเป็นแม่กับปู่ของเด็กที่ถูกลักพาตัว ก็ยิ่งทำให้หนังมีพลังยิ่งขึ้นไปอีก (ไม่ขอพูดถึง Mark Wahlberg เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างเฉย ๆ และดูไม่ใช่สักเท่าไหร่) โดยรวมคือหนังสนุกมาก ชอบบทเจรจาต่อรองอันเชือดเฉือน และชวนให้เราคิดหรือตัดสินตามตลอดเรื่อง
ทุกฉากมีความลุ้น ทึ่ง อึ้ง ไปกับตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นการพยายามสู้หลบหนีของเด็กน้อย และการตัดสินใจของคุณปู่หน้าเลือด ที่เหมือนจะเห็นอำนาจเงินเหนือกว่าทุกชีวิตแม้แต่ชีวิตของสายเลือดของตัวเอง
จริง ๆ ปู่แกก็มีเหตุผลของแก ไม่ว่าจะเป็น… ถ้าจ่ายคนนี้ เดี๋ยวโจรที่อื่นก็จะมาไล่จับหลานคนอื่นให้แกไปจ่ายอีก… หรือการที่แกจะกังวลว่าหลานคิดจะสร้างสถานการณ์หาเงินเข้าตัวเอง… ซึ่งที่แกจะคิด มันก็ไม่ผิด แต่…ในอีกแง่หนึ่ง เราว่ามันก็ไม่ถูกต้องอีกเช่นกัน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราชอบที่เราได้เข้าไปสำรวจความคิดและจิตใจของคนโคตรรวยอย่าง J. Paul Getty ทึ่งกับแนวความคิดของเขาหลายอย่าง ทำให้เราเข้าใจเลยว่า เออ คิดแบบนี้ไงถึงได้รวย (หรือ คิดอย่างนั้นไง ก็เลยไม่รวย) และได้เข้าใจว่าแตกต่างของคำว่า Getting rich กับ Being rich (อย่างแรกอาจใคร ๆ ก็ทำได้ แต่อย่างหลัง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้)
นอกจากนี้หนังมีเสียดสีวงการสื่อหรือพวกนักข่าวที่ชอบทำข่าวดราม่าที่ขายได้หรือล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของคนอื่น พร้อมกับการเน้นย้ำความสำคัญของอำนาจเงินที่อยู่เหนือทุกคนบนโลก แม้แต่คอมมิวนิสต์
สรุปแล้ว นับเป็นหนังระทึกขวัญที่มีการแสดงระดับเข้าชิงรางวัลออสการ์ของคริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์ เป็นไฮไลต์สำคัญในหนังที่ล่อหลอกคนดูจนเดาทางไม่ถูก และยังสอนสัจธรรมเรื่องทรัพย์สินเงินทองอันเป็นของนอกกายตายไปก็เอาไปไม่ได้อย่างเห็นภาพที่สุด